วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

(91)[100%SKE48] แปลบทสัมภาษณ์กัปตันมักกี้ x อันนะเซนเซย์ (ไซโต้ มากิโกะ x มากิโนะ อันนะ)

ในวันนั้น ใบหน้าของไซโต้ มากิโกะแฝงไปด้วยความประหม่า
แต่ว่า เธอในเวลานั้นยังคงยิ้มได้
ใช่แล้ว มากิโกะไม่ล่วงรู้ความหมายที่แท้จริง
การเผชิญหน้าต่อจากนี้ กับผู้ที่ให้จิตวิญญาณแก่ SKE48 มากิโนะ อันนะ
นี่เป็นทางที่มากิโกะไม่อาจหนีไปได้

กัปตันไซโต้ มากิโกะ ครั้งแรกคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
แมทช์ที่ห้ามถอนตัวกลางคัน การตัดสินแพ้ชนะใน 90 นาที

การเริ่มต้นของโชคชะตา

- วันนี้ อยากเชิญไซโต้ มากิโกะซังที่ได้รับตำแหน่งกัปตันเมื่อเดือนมีนาคม มาพบกับอันนะเซนเซย์สักครั้งเลยจัดสัมภาษณ์ครั้งนี้ขึ้นครับ

มักกี้: ขอบคุณค่ะ

อันนะเซนเซย์: ฝากตัวด้วยค่ะ กัปตันนี่หมายถึงกัปตัน SKE48 ทั้งวงใช่มั้ย?

มักกี้: ใช่ค่ะ

อันนะเซนเซย์: โอ้!!

- แต่ว่ากัปตันคนใหม่คนนี้ ตั้งแต่เริ่มก็ไม่กล้าสบตาอันนะเซนเซย์เลยนะครับ (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: นั่นสิ ไม่มองฉันเลย

มักกี้: ไม่ใช่ค่ะๆๆ ฉันมองอยู่นะ!

- ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ ไม่ได้มองแน่ๆ (หัวเราะ) งั้นก่อนอื่น ช่วยอธิบายกับผู้อ่านทีครับว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นมายังไง เชิญกัปตันครับ

มักกี้: มันเริ่มมาจากคลิป 2 นาทีครึ่งจากโคเอ็ง Te wo tsunaginagara ค่ะ (คลิปที่ฉายในโคเอ็ง มีอัพใน youtube ด้วย) ใน DOCUMENTARY of SKE48 ที่ฉายเมื่อ 2 ปีก่อนก็มีฉากนี้อยู่ ฉากที่อันนะเซนเซย์กำลังสอนตอนช่วงซ้อมเพลง “Pinocchio Gun”

- ฉากที่อันนะเซนเซย์เสียงดังใส่ (มัตสึอิ) เรนะซัง “สีหน้ายังธรรมดาเกินไป!” “อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆสิ!” ใช่มั้ยครับ? นั่นน่าจะเป็นฉากดังที่แฟนๆSKE48 ทุกคนรู้จักกันดี

มักกี้: ฉันถูกบอกมาว่าต้องพูดคำพูดโด่งดังพวกนี้ในคลิป 2 นาทีครึ่ง



- รู้สึกจะเป็นโคเอ็งรอบเช้าวันที่ 9 พฤษภาคมปีที่แล้ว จะบอกว่า “ฉันแค่ถูกขอให้ทำแบบนั้น” สินะครับ

มักกี้: ใช่ค่ะ เพราะงั้นไม่ใช่ความผิดฉันนะ

อันนะเซนเซย์: ฮ่าๆๆๆ

มักกี้: ฉันเป็นแค่นักแสดงที่เล่นตามบทเท่านั้นเองค่ะ

อันนะเซนเซย์: เรื่องนี้น่ะ แฟนๆมารายงานให้ฉันรู้ตั้งนานแล้ว ในทวิตเตอร์น่ะ

มักกี้: (ทำหน้าตกใจ)

อันนะเซนเซย์: จากนั้นก็ได้ดูคลิปด้วย อืม ทำอะไรครึ่งๆกลางๆชะมัดเลย

มักกี้: ฮ่าๆๆ

- ทั้งๆที่ตัวเองพูดว่า “อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆสิ!” (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: ถ้าจะทำ ก็ต้องทำออกมาให้เว่อร์กว่าต้นฉบับ ให้ทุกคนขำให้ได้ แบบว่ารู้สึกเหมือนฉันดูเก้ๆกังๆยังไงไม่รู้

มักกี้: ขอโทษค่ะ...

- จากนั้น คลิป 2 นาทีครึ่งวันที่ 12 มิถุนายนก็ล้อเลียนอีกรอบ




มักกี้: ไม่ได้ล้อเลียนค่ะ! ฉันแค่เล่นตามบท!

อันนะเซนเซย์: เป็นความคิดของสตาฟฟ์ทั้งหมดเลยเหรอ?

มักกี้: ใช่ค่ะ!

อันนะเซนเซย์: สำหรับฉันน่ะนะ คิดว่าถ้าเป็นมากิโกะจะต้องเถียงไปแน่ๆ “อันนะเซนเซย์น่ะพูดออกมาอย่างจริงจังนะ อย่าเอามาเล่นเลยค่ะ”

มักกี้: ......(ก้มหน้าเงียบ)

- ไม่ได้เถียงไปเหรอครับ?

มักกี้: ...เปล่าค่ะ ตอนนี้เพิ่งจะรู้ตัวว่าฉันเถียงได้...

อันนะเซนเซย์: ฮ่าๆๆๆ

- หลังจากนั้นได้ติดต่อกันบ้างมั้ยครับ?

อันนะเซนเซย์: ในคอนเสิร์ตจบการศึกษาเรนะได้เจอกันครั้งนึงมั้ง?

มักกี้: ค่ะ เจอกันโดยบังเอิญหลังเวทีค่ะ ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เล่นทวิตเตอร์ ได้รู้ปฏิกิริยาของอันนเซนเซย์แค่จากในเน็ต เพราะงั้นพออยู่ดีๆเจอหน้ากัน เลยรู้สึก “เจอเข้าแล้ว...” (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: ฉันยังคิดอยู่ว่าตอนอยู่บนเวทีอยากจะคุยกันหน่อย

- บทในวันนั้นคือ เรนะซังล้มลงไประหว่างเต้นเพลง “Pinocchio Gun” จากนั้นอันนะเซนเซย์ก็ออกมาเซอร์ไพรส์

อันนะเซนเซย์: ตอนนั้นแหละค่ะที่เห็นมากิโกะ แต่ว่านั่นเป็นคอนเสิร์ตจบการศึกษาของเรนะ ถ้าฉันเอาคืนกับมากิโกะมันคงดูไม่เหมาะ จากนั้นที่หลังเวทีบังเอิญเจอมากิโกะ ในใจก็คิด “คราวนี้ต้องตัดสินกันไปเลย”

- ว้าว! “ตัดสินกันเลย” เหรอครับ!

อันนะเซนเซย์: อยากให้เรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้นอีกหน่อย (หัวเราะ)

มักกี้: ฮุๆๆ

- ในทวิตเตอร์ก็เขียนไว้ว่า “เข้าปะทะโดยตรง” ด้วย

อันนะเซนเซย์: เพราะพวกแฟนๆดูสนุกกันมากค่ะ

- เพราะแบบนี้ เลยเขียนพู่กันเมื่อโคเอ็งวันปีใหม่ว่า “โค่นล้มอันนะ!” ใช่มั้ยครับ?

มักกี้: ค่ะ (ยิ้ม)

อันนะเซนเซย์: มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?



มักกี้: ก็ถ้าเขียนแบบว่า “ก้าวไปเรื่อยๆ” คิดว่ามันจะไม่ธรรมดาไปหน่อยเหรอ ตอนที่ลังเลอยู่ว่าจะเขียนอะไร คุยกับเมเนเจอร์ซังคุยไปคุยมาก็ตัดสินใจได้ว่าเขียนแบบนี้แหละ แต่ว่า...

อันนะเซนเซย์: แต่ว่า..อะไร?

มักกี้: มือมันสั่นจนเขียนออกมาแทบไม่ได้เลย (หัวเราะ)

- พอเขียนเป็นตัวหนังสือคงรู้สึกถึงความกลัวสินะครับ

อันนะเซนเซย์: ที่ว่า “โค่นล้มอันนะ!” เนี่ย อธิบายรายละเอียดให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่าเธอจะโค่นล้มยังไง?

มักกี้: (อึกอักอย่างเห็นได้ชัด) ระ ระ เรื่องนี้ “โค่นล้ม” ก็คือ...

อันนะเซนเซย์: อื้ม คืออะไร?

มักกี้: ก็....คือ “ชัยชนะ” ค่ะ

อันนะเซนเซย์: คิดว่าจะเอาชนะฉันได้ยังไงบ้างล่ะ?

มักกี้: เอ่อ...เรื่องนั้น...ทำยังไงถึงจะเอาชนะได้เหรอ?

- คงไม่ดีมั้งครับที่จะฟังเรื่องนี้ (หัวเราะ)

มักกี้: ที่เขียนไปนั่นก็กะจะล้อเล่นเฉยๆ....

อันนะเซนเซย์: ไม่ได้ๆ ต้องให้ชัดเจนสิ ฉันรับคำท้าแล้ว

มักกี้: ไม่ใช่ค่ะ ตอนนั้นฉันไม่คิดจริงๆค่ะว่าเรื่องมันจะมาถึงขั้นสัมภาษณ์กันขนาดนี้ ฉันล้อเล่นจริงๆนะคะ

อันนะเซนเซย์: อยากลองพูดเหมือนกันนะว่า “ฉันแพ้แล้ว”

- เซนเซย์พูดว่า “ฉันแพ้แล้ว” ก็คือ ถูก “โค่นล้ม” แล้วมั้งครับ

มักกี้: นั่นสินะคะ

- ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทำให้เซนเซย์รู้สึกว่า “SKE48 ช่วงนี้ สุดยอดเลย” หรือ “มากิโกะเป็นกัปตันได้ไม่มีที่ติเลย” อย่างนี้ถือว่าเป็นการ “โค่นล้ม” ได้มั้งครับ

อันนะเซนเซย์: นี่แหละค่ะที่ฉันหวังไว้

- ยิ่งกว่านั้น ถ้ามากิโกะซังสั่ง “Sokutatsu Nama” (เบียร์ที่มักกี้เป็นพรีเซ็นเตอร์) ไปส่งที่บ้านอันนะเซนเซย์...

อันนะเซนเซย์: นั่นคือ “โค่นล้มอันนะ” แบบราบคาบเลยล่ะ (หัวเราะ)

ทำไมต้องเป็นไซโต้ มากิโกะ

- ต่อไปเรามาคุยเรื่องเป้าหมายแล้วก็วิสัยทัศน์ของการเป็นกัปตันของมากิโกะกันดีกว่าครับ

มักกี้: แน่นอนว่า มีหลายอย่างมากค่ะ

อันนะเซนเซย์: โอ้ว อยากฟังจัง

มักกี้: สำหรับ SKE48 น่ะ มีเมมเบอร์ทยอยจบการศึกษาไปเลยไม่ค่อยมั่นคง เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนค่ะ ยิ่งกว่านั้นยังเปลี่ยนกัปตันเริ่มระบบใหม่ในรอบ 2 ปี การที่เลือกฉันก็ไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร ทำไมถึงไม่เลือกรุ่น 1 อย่างจูรินะซังหรือมาซานะซัง?

- ได้รับคำตอบรึยังครับ?

มักกี้: ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน แต่ว่าบางทีฉันอาจจะคิดมากไปเรื่องรับหน้าที่กัปตัน ถึงฉันอยากจะคิดว่า “มันก็แค่ชื่อเรียกเองนี่” แต่ประกาศแต่งตั้งในงานที่ใหญ่ขนาดนั้น มันรับได้ยากน่ะค่ะ

- ดูเหมือนจะยังสับสนอยู่ งั้นวิสัยทัศน์ที่เพิ่งพูดมาเมื่อกี้คือยังไงครับ?

มักกี้: แน่นอนว่าการแสดงที่สุดยอดเป็นอิมเมจของ SKE48 แล้วอีกอย่างแม้เมื่อก่อนรุ่นพี่จะตั้งเป้าหมายที่จะไล่ตามและก้าวข้าม AKB48 แต่ตอนนี้ไม่ว่าดีหรือร้ายก็รู้สึกว่ามันพร่ามัวไปหมด

- ตั้งแต่ตอนไหนครับที่รู้สึกว่ามันเริ่มมัว?

มักกี้: ก็ 3-4ปีที่ผ่านมาค่ะ แต่ว่าเรื่องที่มันพร่ามัวนี่ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมันดี ไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง ตอนที่ฉันเข้ามา (ปี 2009) ยังมีแค่ทีม S ทีม S ตอนนั้นน่ะ ให้อิมเมจเป็นวงที่โปรมาก แบบว่าสุดยอดเลย อยากจะเก่งเหมือนพวกเขาบ้าง ฉันคิดว่าแบบนั้นต่างหากถึงจะเป็น SKE48 ที่แท้

- พูดอีกอย่างคือ อยากให้อิมเมจแบบนี้ชัดเจนขึ้นสินะครับ?

มักกี้: ใช่ค่ะ มีวงตั้งมากมายทั้งในและนอกประเทศ ตอนนี้ยังมี 46 กรุ๊ปอยู่อีก มีแค่นั้นที่ฉันไม่อยากให้มันเลอะเลือนไป แต่เมมเบอร์เปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป ดังนั้นการจะทำในจุดนี้เลยยากมาก เมมเบอร์ที่รู้เรื่องในตอนนั้นไม่อยู่กันเกือบหมดแล้ว ถ้าคนพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว” ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

- สำหรับ SKE48 ในตอนนี้ อันนะเซนเซย์คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?

อันนะเซนเซย์: ไม่นานมานี้ฉันก็คิดท่าเต้นซิงเกิ้ลให้อยู่ แต่ว่าพอสอนท่าให้หมดแล้วก็จบ ไม่ได้คุยมากกว่านั้น สำหรับรุ่น 1 ฉันเป็นคนสอนเองตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์ ดังนั้นพวกเขาเลยจำคำพูดของฉันได้ แบบว่า “ต้องคิดให้ดี ถ้าไม่มีวงพี่วงน้องวงอื่น อยากจะเป็นคู่แข่งกับ AKB48 ในแบบไหน คำตอบของคำถามนี้จะนำทางพวกเธอไป” “เพื่อที่จะก้าวข้าม AKB48 ต้องทำยังไง ไม่ใช่มุ่งไปในทางสายนี้อย่างสุดกำลังหรอกเหรอ?” อะไรประมาณนั้น ฉันพูดแบบนี้ สอนพวกเขาอยู่ 2 อาทิตย์ ถ้าอยากให้ดีพอที่จะขึ้นไปยืนบนเวทีได้ในเวลาสั้นๆแค่นั้น ก็ต้องกดดันเค้นพลังออกมา แต่ฉันก็ทำได้แค่นั้น หลังจากนั้นพวกเขาจะยังทำเต็มที่หรือเปล่า จะมุ่งไปยังเป้าหมายเดียวกันอยู่หรือเปล่า เป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจเดาได้

- เซนเซย์ตอนที่สอนมีแต่รุ่น 1 สินะครับ

อันนะเซนเซย์: ที่ฉันอยากฟังจากปากมากิโกะก็คือ “ทุกคนอยากให้ SKE48 ในตอนนี้เป็นแบบไหน” พูดตามตรง ตอนที่ดูพวกเขาในทีวี ฉันไม่เข้าใจถึงจุดนี้เลย กลัวว่าสำหรับคนทั่วไป จะแยกไม่ออกแล้วว่านี่คือ AKB48 หรือ SKE48 SKE48 น่ะ เป็นวงที่เมมเบอร์ทุกๆคนร่วมกันสร้างขึ้น ฉันอยากรู้มากๆว่าทุกคนคิดยังไงกันแน่ อยากจะสร้างวงที่เป็นแบบไหนกันแน่ อนาคตของวงขึ้นอยู่กับเรื่องนี้แหละ ตอนนี้ฉันยังดูไม่ออกเลย

มักกี้: ...(ฟังอยู่เงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: ฉันก็สงสัยว่าได้คิดถึงเรื่องนี้กันบ้างหรือเปล่า?

- มากิโกะซัง ว่ายังไงครับ?

มักกี้: คนที่ออกทีวีมีแต่เซมบัตสึค่ะ ฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้ว่าทุกคนคิดยังไง ถ้าไม่พูดถึงรายการทีวี ถ้าเป็นคอนเสิร์ตล่ะก็ การแสดงบนเวทีก็ไม่เหมือนสมัยก่อน มันอาจมาจากแรงผลักดันที่ต่างกันของเมมเบอร์แต่ละคน ถึงอย่างนั้น ความภาคภูมิใจของ SKE48 คือที่เธียร์เตอร์อย่างเดียวอย่างนั้นเหรอ เรื่องนี้คิดว่าทุกคนก็รู้สึกอยู่เหมือนกัน แต่ว่า อืม....

อันนะเซนเซย์: ที่เธียร์เตอร์ SKE48 เป็นยังไงเหรอ?

มักกี้: โคเอ็งของทีม E ตอนนี้คือ “Te wo tsunatsuginagara” ฉันทำได้แค่พูดถึงเรื่องการแสดงเท่านั้น ดังนั้นเลยอยากจะต้องพูดมันออกมาให้หมด

อันนะเซนเซย์: งั้น ถ้าเป็นมากิโกะพูดทุกคนถึงจะทำตามรึเปล่า? หรือว่า ทุกคนรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว?

มักกี้: ถึงฉันไม่อยู่ ทุกคนก็ทำได้ดีค่ะ

อันนะเซนเซย์: ถ้างั้นเวลาเล่นคอนเสิร์ตล่ะ เป็นยังไง?

มักกี้: คอนเสิร์ตน่ะ ต้องจำตำแหน่งและการเคลื่อนที่เยอะมาก จะแสดงออกไปให้คนดูอย่างไร แค่พยายามไม่ให้ตัวเองทำผิดก็เหนื่อยมากแล้ว โดยเฉพาะพวกเด็กๆเคงคิวเซย์

อันนะเซนเซย์: งั้นเหรอ มีรายละเอียดที่ต้องทำให้ดีเยอะสินะ แล้วใน SKE48 มากิโกะมีตัวตนเป็นยังไงล่ะ?

มักกี้: อืม...มันยังไงนะ?

อันนะเซนเซย์: ไม่ว่ายังไง ฉันว่าในเมื่อเลือกมากิโกะเป็นกัปตัน ก็ต้องคิดว่าเธอจะมีความหมายอะไรบางอย่างกับ SKE48 แน่ๆ อย่างเช่น ทดแทนในส่วนที่ SKE48 ยังอ่อนอยู่ ไม่ก็ชี้นำทางที่ทุกคนจะไป ถ้าเป็นอย่างนั้นมากิโกะในตอนนี้มีอะไรบ้างล่ะ? อะไรที่ทำให้เธอมั่นใจว่าจะไม่มีวันแพ้ใคร?

มักกี้: ....(น้ำตาไหล)

อันนะเซนเซย์: อย่างเช่น ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าเซมบัตสึ แต่ก็ไม่หนีไปไหนแล้วยังพยายามต่อไป หรืออย่างเช่น ความรักที่มีต่อวง ฉันน่ะจะคอยดูมากิโกะตลอดไม่ได้ แล้วก็ไปดูโคเอ็งทุกวันไม่ได้ด้วย แต่ว่าดูจากที่แฟนๆบอกกับสิ่งที่มากิโกะพูดให้ฟังเมื่อกี้ ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เลือกเธอ เพราะไม่ว่าเธอจะอยู่ตำแหน่งไหน เธอก็ทำต่อไปโดยไม่ไขว้เขว นี่แหละเป็นความหมายที่เลือกเธอเป็นกัปตันล่ะ

มักกี้: ...(ก้มหน้าเงียบ)

- พอได้ฟังอันนะเซนเซย์พูดแล้ว คิดว่ายังไงบ้างครับ?

มักกี้: ...ฉันไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดว่าตัวเองทำถูก ไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเป็นตัวอย่างให้ใครได้ ดังนั้นตอนที่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตัน เลยกังวลมาก ตอนนี้ ฉันก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเข้าใจ SKE48 ทั้งหมด แล้วยังไม่รู้ด้วยว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง แต่ว่าตั้งแต่ที่ได้รับคำนำหน้าว่า “กัปตัน” ฉันก็คิดมาตลอด ถ้าถูกถามว่า “จากนี้อยากทำยังไงต่อ?” ฉันก็คงจะแค่พูดคำสวยหรูตอบผ่านๆไป

อันนะเซนเซย์: นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่ามากิโกะจะแสดงตัวเองออกไปยังไง ที่สำคัญที่สุดคือต้องแสดงตัวตนที่แท้จริงของมากิโกะออกไป เป็นกัปตันนะไม่ใช่ซูเปอร์แมน ไม่มีใครเลือกเธอมาเป็นกัปตันเพราะคาดหวังว่าเธอจะทำได้ทุกอย่างหรอก “แม้อยากจะให้วงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง” แค่พูดอย่างนี้ก็ดีแล้ว ฉันเป็นเซนเซย์ เลยใช้คำพูดที่ดูเหนือกว่าแบบนี้ได้ แต่มากิโกะเป็นเมมเบอร์คนนึงในวงจะทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันคิดว่าทุกคนดูการกระทำของเธอมากกว่าคำพูด ไม่ว่าจะพูดคำสวยหรูออกไปมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าพวกเมมเบอร์จะฟังหรือไม่ก็ตาม ขอแค่มากิโกะสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปได้ พยายามสุดแรงเกิดให้พวกเขาเห็นว่าเธอทำเต็มที่เพื่อวง มันต้องเห็นผลแน่ๆ ถ้าแค่พูดออกไปเท่ๆว่า “ฉันทำได้อยู่แล้ว” จะด้วยสีหน้าแบบไหนก็ส่งไปไม่ถึงหรอก จะข้อดีหรือข้อเสียก็แสดงออกไปให้หมด ที่สำคัญคือเธอทุ่มเททั้งกายใจลงไปได้หรือเปล่า ไม่มั่นใจในตัวเองก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องนี้ใครๆก็กังวล มากิโกะที่กังวลอยู่ตลอดแบบนี้แหละถึงจะงดงาม

มักกี้: ....(เสียงอ่อน) ค่ะ

อันนะเซนเซย์: แต่ว่า! ห้ามหนีเด็ดขาด! จะไม่ทำอะไรเลยเพราะไม่มีความมั่นใจไม่ได้นะ เพราะไม่มีความมั่นใจนี่แหละถึงต้องพยายามทำอะไรสักอย่าง

มักกี้: ....(เสียงอ่อน) ค่ะ

กล้าที่จะแสดงตัวตนออกไป

- ได้เป็นกัปตันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ได้คุยอะไรกับเมมเบอร์บ้างมั้ยครับ?

มักกี้: ฉันได้รู้ว่าตัวเองฝืนยิ้มทำตัวเป็นมิตรกับทุกคนมาตลอด

- ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ?

มักกี้: งานแรกของการเป็นกัปตันคือ โคเอ็งรำลึกแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 มีนาคมค่ะ ทุกๆปีจะมีโคเอ็งแบบนี้ สำหรับพวกเราก็นับว่าสำคัญ แต่ยังรู้สึกว่าเมมเบอร์บางคนไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าไหร่ อย่างเข่น ปกติเวลาช่วงก่อนโคเอ็งจะทำเล็บ ทำผมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่วันที่ 11 มีนาคมน่ะ ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำไม่ใช่เหรอ? มีบางคนที่ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนล่ะก็ ฉันจะต้องตักเตือนแน่ แต่ตอนนี้ได้รับเลือกให้เป็นกัปตัน ถ้าไปจ้ำจี้จ้ำชัยมาก อาจจะคิดว่า “จะพยายามทำตัวเป็นกัปตันงั้นเหรอ” ฉันกลัวมากว่าพวกเขาจะมองฉันแบบนั้น วันนั้นฉันยังต้องจำสคริปต์ด้วย เลยปล่อยมันไป และในตอนนั้นเองก็ได้รับรู้ว่าคงยากที่ตัวเองจะดูแลเมมเบอร์ทุกๆคน

- สิ่งที่อยากพูดสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป รู้สึกตัวเองไม่มีประโยชน์งั้นสินะครับ

มักกี้: เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับตัวเองมากค่ะ แก้ปมไม่ออก หลังจากโคเอ็งจบลงก็ร้องไห้ออกมาที่ข้างเวที น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด... ได้ยินคนพูดว่า “เอ๋? มากิโกะล่ะ?” ถึงรู้ว่าพวกเขาตามหาฉันอยู่ แต่ว่าตัวฉันมันไม่ยอมขยับ นั่งอยู่ตรงนั้นเกือบชม.ตรงข้างเวทีตำแหน่งที่ 1 (หัวเราะ)

- นั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่ 1 ตลอดเลยเหรอครับ (หัวเราะ)

มักกี้: ตอนนั้นรับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองได้อย่างลึกซึ้งเลยค่ะ กังวลมากไม่รู้ว่างานหลังจากนี้จะราบรื่นหรือเปล่า

- เรื่องที่ร้องไห้นี่ เมมเบอร์รู้มั้ยครับ?

มักกี้: ไม่ค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ไปถามสตาฟฟ์ซัง ฉันคิดว่าคงไม่รู้ ที่จริงฉันก็ไม่อยากให้รุ่นน้องเห็น

อันนะเซนเซย์: ตัวเองก็เป็นเมมเบอร์แต่กลับต้องรับผิดชอบที่จะนำคนอื่น มันค่อนข้างลำบากและโดดเดี่ยว เมื่อก่อนฉันก็เป็น ตอนเป็นเมมเบอร์ SUPER MONKEY'S แล้วยังต้องสอนเมมเบอร์คนอื่นอีก จะสอนพวกเขาได้ ก่อนอื่นตัวเองก็ต้องทำให้ดีก่อน ความกดดันแบบนี้มันเยอะมาก แล้วยังกลัวอีกว่าจะถูกพวกเขาเกลียดมั้ย แต่ว่าต้องมีความกล้าที่จะถูกเกลียด ไม่งั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน การดุคนอื่นในเวลาเดียวกันก็เป็นการทำร้ายตัวเองด้วย แต่ที่พูดจาแย่ๆพวกนี้ออกไปได้ ไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ

มักกี้: ...(ฟังอย่างเงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: จนทุกวันนี้ ก่อนจะเข้าห้องซ้อมฉันยังบอกกับตัวเอง “ถ้าเด็กพวกนี้เติบโตขึ้นได้ล่ะก็ ถึงจะถูกพวกเขาเกลียดก็ไม่เป็นไร” อีกอย่างแค่เธอแสดงความพยายามออกไป สักวันพวกเขาจะเข้าใจ ถ้าทำครึ่งๆกลางๆล่ะก็ ไม่ต้องทำดีกว่า ในเมื่อตัดสินใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้สมบูรณ์ แม้ฉันจะอายุ 44 แล้ว แต่ตอนดุคนอื่นมือก็ยังสั่นอยู่นะ แล้วมากิโกะอายุเท่านี้ได้เป็นกัปตันแล้ว ตอนดุคนอื่นคงจะต้องเจ็บปวดแน่ๆ ขนาดทาคามินะเองยังรู้สึกเจ็บปวดเลย ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน แต่ว่า! ยังไงก็ต้องทำนะ แม้แต่ฉันเอง บางทีก่อนนอนนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ยังรู้สึกเสียใจเลยว่า “ตอนนั้นไม่น่าพูดแบบนั้นไปเลย”

มักกี้: ...(ฟังอย่างเงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: จากนี้มากิโกะจะค่อยๆเติบโตไปเป็นกัปตันที่แท้จริงมั้ย เรื่องพวกนี้น่ะตัวเองคงจะค่อยๆรู้เอง อาจจะล้มเหลว อาจจะร้องไห้ อาจจะท้อก้าวไปข้างหน้าก้าวนึงแต่ต้องถอยหลังมาสามก้าว แต่ก็เพราะการทำซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่แหละ ถึงจะช่วยสอนให้มากิโกะเป็นกัปตันได้ เริ่มแรกทำไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาแต่ว่า จะต้องมีความตั้งใจ

มักกี้: ...ค่ะ

อันนะเซนเซย์: ยิ่งฝ่าฟันอุปสรรคไปมากเท่าไหร่ มากิโกะก็ยิ่งโตขึ้นเท่านั้น ตอนที่มากิโกะกล้าที่จะเผชิญหน้ารับตำแหน่งกัปตัน ทั้งการแสดง ทั้งสีหน้าของมากิโกะ ทั้งความหมายของตัวตนของเธอในวง ก็เปลี่ยนไปทั้งหมด คนที่ได้รับโอกาสแบบนี้มีไม่มาก ถึงจะล้มเหลวแต่แค่ได้ทำเต็มที่ก็พอแล้ว! ถึงจะต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่แค่กลับมายืนให้ได้ก็พอแล้ว! ถ้าทุ่มเทเต็มที่แล้วยังทำไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นความผิดของคนที่เลือกเธอมาต่างหาก!

- นั่นสิครับ เพราะได้รับเลือกต่างหาก

อันนะเซนเซย์: แล้วก็ ถ้าได้เห็นความพยายามของมากิโกะ จะต้องมีพรรคพวกที่จะไปด้วยกันแน่ๆ

- ตอนนี้ก็มีไม่ใช่เหรอครับ? ได้ไปกินข้าวกับพวกเมมเบอร์ คงจะได้คุยกันเรื่องวงด้วยมั้งครับ?

มักกี้: อืม...ลองคิดๆดูแล้ว คงไม่มีมั้งคะ ฉันไม่รู้จะพูดเรื่องพวกนี้กับพวกเขายังไง ฉันกลัวว่าเราจะคิดไม่ตรงกัน...

อันนะเซนเซย์: นั่นเพราะมากิโกะยังไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกไป แค่มากิโกะพูดเสียงที่อยู่ในใจออกไปตรงๆ เด็กคนนั้นต้องเข้าใจแน่ๆ แบบนี้ทุกคนก็จะรู้สึกว่า “มากิโกะทุ่มเทมาขนาดนี้แล้ว ฉันต้องสนับสนุนเธอ” มีแค่แบบนี้เท่านั้น คนจะเข้ามาร่วมกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ที่แท้จริงยังไม่เริ่มขึ้น ทุกคนในตอนนี้แค่สื่อสารกันธรรมดาเท่านั้น แค่ไม่อยากให้เกลียดกันแค่นั้น

สิ่งสำคัญในโลกใบนี้

- ย้อนกลับไปที่เรื่องที่คุยกันก่อนหน้า ตอนที่ประกาศแต่งตั้งให้เป็นกัปตัน รู้สึกยังไงบ้างครับ?

มักกี้: ....

- ตอนนั้นเหมือนเห็นคุณดีใจจนร้องไห้เลยครับ

มักกี้: ไม่ค่ะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ตั้งแต่ซาเอะซังประกาศจบการศึกษาเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน ก็มีความคาดหวังต่อวงเข้ามากมายจากหลายทาง แต่ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเป็นได้ มีความรู้สึกว่าทำไม่ได้มากๆเลยค่ะ โมเม้นต์ที่ได้ยินประกาศ ในใจก็คิด “อ่า กลายเป็นจริงซะแล้ว” ขาอ่อนไปเลยค่ะ

- ต้องขอโทษด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจผิดหมดเลย (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: แต่ว่า ตอนนี้ก็คงยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นกัปตันอยู่ดีล่ะมั้ง วันนี้แค่เห็นหน้าฉันก็รู้สึกได้แล้ว

มักกี้: ...ขอโทษค่ะ (ยิ้ม)

อันนะเซนเซย์: ยังไม่ถึงจุดที่ “จะต้องทำให้ได้!” เลย มากิโกะ ฉันจะบอกให้ อย่าไปคิดว่า “ทำได้หรือทำไม่ได้” แต่ให้คิดว่า “จะทำหรือไม่ทำ” เธอตอนนี้น่ะยังไม่มีความรู้สึกว่า “ฉันจะทำให้ดู!”เลย ถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร โยนความกลัวทิ้งไป เธอต้องเลือกจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จากประสบการณ์ของฉัน คนเราน่ะแค่คิดว่า “ยังไงก็ต้องทำให้ได้!” ก็จะทำได้แน่นอน ถ้าใจคิดว่า“ยังไงก็ต้องทำให้ได้!”แล้วแต่ทำไม่ได้ซักอย่าง นั่นก็พูดเหลวไหลแล้วล่ะ ถ้าเอาชนะความรู้สึกตัวเองได้ก็ทำได้แล้ว ฉันมองดูแววตามากิโกะในตอนนี้ยังหาไม่เจอความตั้งใจนั้นเลย เพราะเธอไม่ได้มองตาฉันแล้วบอกว่า “ฉันจะเปลี่ยนแปลง SKE48 เอง!” เลยใช่มั้ยล่ะ

มักกี้: .....(เอาแต่ก้มหน้า)

อันนะเซนเซย์: ถ้าไม่มีความตั้งใจแบบนั้น เธอจะลำบากนะ ชีวิตเธอจะอยู่ในความกังวลตลอดเวลา

- แต่ว่า วันนี้ถือเป็นการเปิดสวิตช์เลยแล้วกันครับ ผมคิดว่าทั้งเมมเบอร์ ทั้งแฟนๆต้องอยู่ข้างคุณแน่นอน

มักกี้: อืม...

อันนะเซนเซย์: มากิโกะ ทำไมถึงเอาแต่ลังเลแบบนั้นล่ะ?

- ยังมีอะไรที่ยังเก็บไว้ไม่ได้พูดออกมามั้ยครับ? นี่เป็นโอกาสดีที่จะพูดออกมานะครับ 

อันนะเซนเซย์: เธอกำลังคิดจะจบการศึกษา? เรื่องนี้รึเปล่า?

มักกี้: “เคย” คิดค่ะ ฉันจะเป็นเมมเบอร์ SKE48 ได้อีกนานแค่ไหนนะ? มันอยู๋ในหัวฉันตลอด

อันนะเซนเซย์: งั้นเหรอ ดันได้มาเป็นกัปตันเอาตอนนี้ คงจะทุ่มเททั้งกายใจไม่ได้ กลับกัน ถ้ามากิโกะจบการศึกษาไปแล้ว เธออยากทำอะไรล่ะ?

มักกี้: แน่นอนว่ายังไงฉันก็ชอบการร้องการเต้น แม้หวังว่าจะได้เข้าเซมบัตสึแต่ตอนนี้มันไม่ได้มีผลกับฉันมากขนาดนั้นแล้ว แม้ว่าจะไม่มั่นใจว่าออกจาก SKE48 แล้วจะหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ว่าฉันอยากจะออกไปสู้ดูซักตั้ง เพราะงั้นเลยคิดว่าอาจจะจบการศึกษาในปีนี้...

อันนะเซนเซย์: จากความรู้สึกที่ฉันมองมากิโกะในตอนนี้นะ ถ้าออกจาก SKE48 ไปดิ้นรนข้างนอก ยังอ่อนเกินไป

มักกี้: ..........

อันนะเซนเซย์: ถ้าอยากจะดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวล่ะก็ จะต้องคว้าโอกาสทุกๆโอกาส ต้องมีแรงผลักดันและมีความกล้า ไม่งั้นก็จะล้มเหลวแน่ๆ ในวงการน่ะนะ แม้ความสามารถจะสำคัญก็จริงแต่ในท้ายของท้ายที่สุดก็คือความเชื่อมั่นอันแรงกล้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องมองมันในแง่ดี คนแบบนี้แหละที่เรียกว่าแข็งแกร่ง ถ้าคิดแบบนี้ มากิโกะตอนนี้ยังอ่อนแอ แต่ว่าเธอน่ะได้รับโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ ได้เป็นกัปตัน ได้ทำเรื่องต่างๆเยอะขึ้น ประสบการณ์พวกนี้จะเป็นสมบัติของเธอในก้าวที่จะก้าวต่อไป กับงานทุกวันนี้น่ะรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าในงานพวกนี้ก็มีสิ่งที่ทำให้เธอเติบโตขึ้นซ่อนอยู่ ก็เหมือนอากิโมโตะ ซายากะกับซาเอะจังนั่นแหละ “ถึงจะยุ่ง ถึงสภาพแลดล้อมจะไม่เอื้อ แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่” นั่นเป็นเพราะพวกเขามองเห็นพัฒนาการของตัวเองหลังจากจบการศึกษา ดังนั้นเลยถือว่างานที่ทำอยู่เป็นการฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่ามากิโกะจะตัดสินใจออกไปตอนไหน ต่อจากนี้สิ่งที่เธอต้องมีไม่ใช่ฝีมือการเต้นแต่เป็นการใช้ชีวิตของคนเราต่างหาก

มักกี้: ....(ฟังอย่างเงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: การต่อสู้ในวงการบันเทิงน่ะ ต่างจากทั่วไปโดยสิ้นเชิง เพราะงั้นถ้าเธอคิดถึงชีวิตหลังจากจบการศึกษาไป ตอนนี้เธอได้รับโอกาสที่ดีมากมาแล้ว ถ้าเธอไม่เคลียร์มันคงจะไม่ได้ พูดอีกอย่างคือถ้าเธอเป็นกัปตันแต่จบการศึกษาไปโดยยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง นั่นคือการ “หนี” ล่ะ

มักกี้: ....(ร้องไห้) ค่ะ

อันนะเซนเซย์: ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะล้มเหลวมันก็จะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น คิดว่าทำเพื่ออนาคตของตัวเองไง! เข้าใจรึยัง?

มักกี้: ค่ะ

- ประสบการณ์ที่ได้ในวันนี้ก็คือทางสู่ความสำเร็จในวันหน้านะครับ

อันนะเซนเซย์: สู้เขา!!

มักกี้: ฮ่าๆๆๆ! (เริ่มมีรอยยิ้มกลับมา)

- มาทำตามที่ตัวเองเขียนไว้ในโคเอ็งวันปีใหม่ “โค่นล้มอันนะ!” กันเถอะครับ

มักกี้: เอ่อ...เรื่องนี้น่ะไม่ไหวค่ะ (หัวเราะ)

- งั้นผมสรุปคำพูดของอันนะเซนเซย์ง่ายๆให้ฟังนะครับ “มากิโกะ อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆสิ”

อันนะเซนเซย์: ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

มักกี้: ฮุๆๆๆ ขอโทษค่ะ

- มากิโกะซังล้อเลียนคำว่า “อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ” ตอนนี้ที่สุดก็ได้รับบูมเมอแรงย้อนกลับมาเป็นสิบเท่าเลยนะครับ

มักกี้: ฮ่าๆๆๆๆ

- วันนี้ช่างเป็นเวลาที่มีความหมายมากเลย (หัวเราะ) ต่อไปก็ขอถ่ายภาพคู่กันหน่อยครับ....

มักกี้: ขอไปแต่งหน้าเพิ่มก่อนค่ะ! (หัวเราะ) เซนเซย์คะ วันนี้ขอบคุณมากเลยค่ะ

อันนะเซนเซย์: พยายามเข้า มากิโกะ! ดูเหมือนว่าฉันคงต้องจับตามอง SKE48 ต่อไปแล้วล่ะ (หัวเราะ)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

blogged by 91

[91][bsummary]

Translation

[Translation][bsummary]

Subtitle

[subtitle][bsummary]

Update

[SKEUpdate][bsummary]