วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

(91)[100%SKE48 Vol.3] แปลบทสัมภาษณ์เอโกะชูริ (เอโกะ ยูนะ x ทาคายานางิ อากาเนะ)

HEAVENLY

นี่คือความสัมพันธ์ที่ทะนุถนอมไว้โดยไม่มีใครล่วงรู้
แต่ทว่า ไม่มีใครสามารถหยุดมันลงได้อย่างแน่นอน
แฟนๆ SKE เฝ้ามองไปที่ความรักน้อยๆอย่างใจจดใจจ่อ
เพียงแค่ผลักดันข้างหลังนั้นเบาๆ
โลกใบนี้ก็มีเพียงแค่เธอสองคน



จดหมายรักที่อ้อมค้อม


- คิดว่าที่ถ่ายทำวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ?

ชูริ: สนุกมากค่ะ! แต่ว่าใจเต้นตึกตักไม่หยุดเลย

เอโกะ: ฮุๆๆๆ...เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ถ่ายใกล้กันขนาดนี้สินะคะ

ชูริ: ครั้งแรกจริงๆนั่นแหละ! ไม่สิๆ มันก็...(นั่งอยู่ไม่สุข)

- เป็นสองคนที่ยังไงก็ไม่กล้าสบตากัน

ชูริ: ไม่กล้ามองหน้ากันตรงๆเลยค่ะ แม้จะเคยไปนั่งร้านคาเฟ่ที่ชินจูกุด้วยกัน แต่ก็นั่งข้างๆกัน แบบนี้ถึงจะสบายใจได้ ถ้านั่งหันหน้าเข้าหากัน...จะสั่นค่ะ

เอโกะ: ฮุๆๆๆ

- ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้ มันมาจากอะไรนะ?

ชูริ: อะไรน้า...

เอโกะ: คืออะไรกันนะ?

ชูริ: ถ้าพูดถึงเรื่องตั้งแต่เริ่มต้น ก็คงจะเป็นตอนที่เอโกะซังเหมือนจะกำลังกังวลอะไรซักอย่าง ที่ฉันเข้าไปคุยคงเป็นตัวจุดประกายน่ะ สำหรับฉันมันเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก แต่สำหรับเอโกะซัง นั่นเป็นการปรึกษากับคนอื่นครั้งแรก

เอโกะ: ฉันไม่เคยปรึกษากับใครมาก่อนเลยค่ะ

ชูริ: ฉันรู้มาจากแฟนๆว่าในนิตยสารมีบทสัมภาษณ์ บอกว่า “ตอนที่ชูริซังเข้ามาชวนคุย รู้สึกดีใจจริงๆ” ฉันก็คิด “เขียนอะไรไปกันเนี่ย” ตื่นเต้นขึ้นมาเลยค่ะ

- แต่ว่าพอได้ปรึกษากันคราวนั้นแล้ว ต้องเป็นเรื่องหนักๆค่อยมาปรึกษาหรือเปล่า?

ชูริ: เหมือนจดหมายรักที่อ้อมไปอ้อมมาน่ะค่ะ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นฉันติดซ้อมละครเวที AKB49 อยู่พอดีก็เลยไม่ได้เจอกัน ฉันเอาแต่คิดเรื่องของเอโกะซัง แล้วก็พบว่า “แปลกจัง? ทำไมรู้สึก...เหมือนว่าใจเต้นตึกตักเลยฟระ!

- ในระหว่างที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ความรักก็ก่อตัวขึ้น

ชูริ: ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นว่าไม่กล้าสบตากันเลย ที่จริงฉันไม่รู้หรอกว่าเธอรู้สึกพิเศษกับฉัน เรื่องนี้เธอก็ไม่ได้มาบอกกับฉันเอง ฉันรู้มาจากนิตยสารน่ะ เนอะ!

เอโกะ: ฮ่าๆๆๆ เป็นอย่างนั้นแหละค่ะ

- แต่ได้อ่านบทความก็ทำให้จิ้นได้แล้ว

ชูริ: ใช่ค่ะ แบบว่า “เอโกะซังตอนนั้น ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าแบบไหนกันนะ?”

- เป็นช่วง Coquettish Juutai chuu ครับ น่าจะประมาณ 2 ปีกว่าได้

เอโกะ: ค่ะ ตอนนั้นเรื่องที่กังวลก็คือเรื่องประกาศเซมบัตสึในวันรุ่งขึ้น

ชูริเป็นช่วงที่หลังจากเอโกะซังมาอยู่ KII แล้วก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้ว ตอนแรกๆก็ไม่ได้ค่อยได้คุยกันบ่อยนะคะ อิมเมจในตอนนั้นคือ “เอโกะจังจากทีม S ที่น่ารักมาก ทุกคนเอ็นดู” แต่ว่าเพราะเรื่องนี้ แป๊บเดียวก็กลายเป็นประหม่าไปซะงั้น

- พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นรักครั้งแรกของเอโกะซังไม่ใช่เหรอ

เอโกะ: มีแค่ที่นี่ (กองบก.BUBKA) แหละค่ะที่เรียกแบบนี้! ดันเขียนลง “100% SKE48” เล่มก่อนไปแบบนั้น...

ชูริ: ในเล่มแจกฟรีที่ TSUTAYA ก็ลงแบบนั้นนะ (หัวเราะ)

- แต่ว่า เอโกะซังไม่มีสเปคผู้ชายที่ชอบนี่ครับ ใช่มั้ย

เอโกะ: ไม่มีค่ะ

- นั่นไงล่ะ งั้นสำหรับเอโกะซังแล้วความรู้สึกที่มีต่อทาคายานางิ ไม่ใช่ “ความรัก” หรอกเหรอ?

เอโกะ: อะไรเนี่ยยยย

- ธีมของเล่ม 3 คือ “ความรัก” ไงครับ เพราะงั้นด้วยธีมนี้ถ้าไม่ลง “เอโกะชูริ” ล่ะก็ ต้องโดนประหารแน่

เอโกะ: ไม่หรอกค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าคนที่เริ่มไม่กล้าสบตาก่อนก็คือ ชูริซังไม่ใช่เหรอคะ?

ชูริ: ใช่!

เอโกะ: จากนั้นพอเอามาคุยกันใน MC ในสเตจ ฉันก็เริ่มเขินแล้วกลายเป็นว่าไม่กล้าสบตาชูริซังเหมือนกัน (หัวเราะ)

- พูดอีกอย่าง ความรู้สึกระหว่างคุณสองคน...ก็คือ “ความรัก” นั่นแหละ

ชูริ: ความรักเหรอ...แต่ว่าอันที่จริงก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกกับเมมเบอร์คนไหนมาก่อนเลยล่ะ

- จะว่าไป นี่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆช่วงมัธยมไม่ใช่เหรอ แบบว่า A คุงกับ B จังแม้จะชอบกันแต่ก็ต้องบอกผ่านเพื่อนชื่อ C จังว่า “A น่ะ บอกว่าชอบ B นะ” หลังจากนั้นถึงได้รู้ความรู้สึกของสองฝ่าย ประมาณนั้นน่ะ

ชูริ: นั่นแหละค่ะ! นั่นน่ะ เป็นช่วงวัยรุ่นที่มาช้ามากเลยไม่ใช่เหรอ

- นิตยสารที่ทำให้มั่นใจว่าทั้ง 2 คนมีความรู้สึกต่อกันก็คือใน 100%เล่มก่อน ตอนที่สัมภาษณ์เอโกะซัง ตอนนั้นพอพูดไปว่า “เพิ่งจะสัมภาษณ์ชูริซังไป...” อยู่ดีๆเอโกะซังก็ถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “เอ๋? พูดอะไรบ้างเหรอคะ?” หน้าก็เริ่มแดงนิดๆ แถมยังจับผมตัวเองแก้เขินด้วย ดูยังไงก็เป็นสีหน้าของเด็กสาวที่กำลังมีความรักชัดๆ

เอโกะ: ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยค่ะ!

- คติของนิตยสารเล่มนี้ก็คือ “พิสูจน์ความจริงที่เที่ยงแท้” (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้น นิตยสารเล่มนี้ก็ได้จัดสัมภาษณ์พิเศษขึ้นมา นัดหมายกับ “เอโกะชูริ”

ชูริ: ฮ่าๆๆๆๆ

- มันคือ “ความรัก” ไงล่ะ อีกอย่างวันนี้ที่ไปถ่ายกันมาทั้งวันก็มีบรรยากาศมุ้งมิ้งเต็มไปหมด

ชูริ: มีตลอดเลยล่ะ! ตั้งแต่วันก่อนจะไปถ่าย ใจฉันก็เต้นตึกตัก นี่มันคือความรักสินะ?

- คือความรักครับ ความรักเป็นจุดกำเนิดของความสัมพันธ์

ทั้งคู่: ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ



แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว


- ทาคายานางิซังคิดว่าเอโกะซังมีตรงไหนบ้างที่ทำให้ใจเต้นแรง?

ชูริ: อืมมม ตรงไหนนะ? ไม่ใช่ความรู้สึก “น่ารักจัง” แบบพวกลูกหมาหรือเด็กน้อยน่ะค่ะ แล้วก็ไม่ใช่น่ารักแบบไอดอลด้วย...คงเป็นแบบคนๆนึง เป็นเด็กสาวคนนึงล่ะมั้ง...

เอโกะ: ฮ่าๆๆๆๆๆ

ชูริ: ยิ่งอธิบายยิ่งดูทำให้เข้าใจผิดแฮะ บ้าจริง (หัวเราะ)

- ก็ความน่ารักแบบลูกหมาหรือเด็กน้อยมันไม่มีความรู้สึกเขินหรือทำให้ใจเต้นนี่ครับ แต่กับ “เอโกะชูริ” ให้ความรู้สึกแบบนั้น

ชูริ: อ่า เพราะอะไรกันนะ? แต่ว่าถ้าใช้ตรรกะนี้หาคำตอบต่อไปล่ะก็ จะกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจริงๆนะ...

- ในเมื่อต่างก็ชอบกันอยู่แล้ว แต่กลับรักษาระยะห่างไว้นิดนึง มันเหมือน “สถานการณ์แบบอิโนกิ-อาลี” เลย (สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก)

เอโกะ: อ่า ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเลยก็เถอะ (หัวเราะ)

- พูดอีกอย่างมันเป็น “สถานการณ์แบบเอโกะ-ชูริ” น่ะครับ ถ้าเอโกะซังลองแสดงความรู้สึกที่มีต่อทาคายานางิซังล่ะ?

เอโกะ: คุยเรื่องนี้ต่อหน้าชูริซังน่าอายออกค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าจะพูดยังไงดี จริงๆก็เคยคิดเหมือนกันว่า “วันนี้ชูริซังจะอยู่มั้ยนะ”

- โอ้ๆๆ

เอโกะ: เวลามีถ่ายงานหรืองานจับมือก็ชอบคิดว่า “ได้เวลาเดียวกับชูริซังเลย” พอรู้ตัวอีกทีก็คิดแบบนี้ไปแล้ว

ชูริ: เอโกะซังมี LINE มาว่า “ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย” ตอนนั้นฉันก็คิดว่า “นี่คงเรียกว่าคาหนังคาเขาแล้วล่ะมั้ง” จะชอบทำอะไรแสดงออกมาเองโดยไม่รู้ตัวน่ะค่ะ

เอโกะ: เอ๋!!?

ชูริ: ฉันหมายความไปในทางที่ดีน่ะ แต่ดูยังไงก็เป็นการกระทำที่ไม่ได้คิดไว้ก่อนแน่ หลังจากมีประกาศว่าเอโกะซังได้เล่น “AKB49 ก็ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลย ฉันได้โผล่ไปดูซ้อม “AKB49” อยู่ครั้งนึง แต่เหมือนตอนนั้นเอโกะซังจะแยกซ้อมอยู่ที่ตึกอีกชั้นนึง เลยไม่ได้เจอกันเลยค่ะ

เอโกะ: ใช่ค่ะ

ชูริ:  ฉันเห็นว่ามันก็ช่วยไม่ได้ก็เลยกลับค่ะ จากนั้นเอโกะซังก็ส่ง LINE มาว่า “ชูริซังมาเหรอคะ! ทั้งที่บอกว่าอยากเจอแท้ๆ” แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆแบบนั้น

เอโกะ: ฮุๆๆๆๆ

ชูริ: ทั้งที่ปกติออกจะเป็นเด็กขี้อายน่ะ

เอโกะ: ฉันก็พูดแบบนี้บ่อยนะคะ

ชูริ: คงเพราะตรงไปตรงมาแบบนี้ เลยรู้สึกใจเต้นแรงน่ะ

เอโกะ: แต่ว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าคงพูดไม่ออกค่ะ ถ้าไม่ใช่ LINE ก็พูดไม่ออก

- นี่มันเหมือนเนื้อเพลงอะไรซักอย่างเลยนะครับ (หัวเราะ) จริงสิ! อากิโมโตะเซนเซย์จะต้องคิดถึงเรื่อง “เอโกะชูริ” แน่ๆถึงได้เขียนเพลง “Chicken LINE” ออกมา...

ชูริ: ไม่ใช่แล้วค่ะ!

- แต่ว่า Chicken ไม่ใช่นกเหรอครับ

เอโกะ: ฮุๆๆๆ ตลกอ่ะ (หัวเราะ)

- ประเด็นนี้ไว้ก่อนแล้วกัน (หัวเราะ) ตั้งแต่เมื่อกี้ก็รู้สึกตะหงิดๆ ทาคายานางิซังเรียกเอโกะซังว่า “เอโกะซัง”

ชูริ: เรื่องนี้มีที่มาค่ะ ฉันเคยบอกกับพวกรุ่นน้องว่า “เรียกฉันว่าชูริจังก็ได้นะ” ไม่ก็ “ไม่ต้องเติมซังก็ได้” แต่ถึงฉันพูดอย่างนั้น เอโกะซังก็เหมือนไม่ฟังเลย เพราะงั้นคงต้องเป็นฉันเองที่ต้องทำตาม เพื่อให้เท่าๆกับเอโกะซังก็เลยเรียกเธอว่า “เอโกะซัง” ค่ะ

- ใช้ “ชูริซัง” กับ “เอโกะซัง” แสดงความเสมอกัน งั้นเวลาส่วนตัวไม่รู้สึกว่าเหินห่างเหรอครับ? ที่เปลี่ยนวิธีเรียกอย่างนี้น่ะ

ชูริ: ไม่ค่ะ

- อายุห่างกัน 8 ปีใช่มั้ยครับ

ชูริ: ไม่ต้องบอกก็ได้... (หัวเราะ)

- ความรัก อายุไม่สำคัญหรอกครับ

ชูริ: นี่ นี่มันคำถามชี้นำนี่

ถูกต้องครับ คำถามชี้นำ (หัวเราะ)

เอโกะ: อุฮุๆๆๆ

ชูริ: แหม พวกคำถามแบบ “งั้นมันเป็นยังไงแน่?” นี่น่ะ คือฉันก็อยากให้แฟนๆรู้สึกสงสัยต่อไป เพราะงั้นฉันไม่ตอบหรอกค่ะ ยังไงก็ขอให้ทุกคนไปจินตนาการกันเองนะ



ทาคายานางิสุดเท่


- จะว่าไปแล้ว เอโกะซังก็เคยเขียนถึงทาคายานางิซังใน SKE48 mail ด้วยนี่ครับ

เอโกะ: ค่ะ (เขิน) เพราะไม่อยากให้ชูริซังเห็นก็เลยไม่เขียนลงบล็อก เรื่องเกี่ยวกับชูริซังที่ค่อนข้างส่วนตัวมักจะเขียนใน SKE48 mail ค่ะ

ชูริ: เรื่องนี้น่ะ แทนที่จะให้แฟนๆมาบอกฉัน ไม่คิดว่า “ฉันพูดเอง” จะดีกว่าเหรอ?

เอโกะ: ไม่ค่ะ แบบนี้ก็สนุกดี พอเขียนเรื่องพวกนี้ในเมล์แล้ว ในงานจับมือก็จะมีแฟนๆวิ่งไปบอกกับชูริซังเองค่ะ

ชูริ: แต่ว่า ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าเนื้อหาเป็นยังไง

เอโกะ: นั่นเป็นเพราะฉันบอกพวกเขาไว้ว่า “อย่าไปบอกชูริซังนะคะว่าฉันเขียนอะไร”

ชูริ: แล้วฉันก็ไปทวีตในทวิตเตอร์ว่า “ดูเหมือนว่าเอโกะซังจะเขียนเกี่ยวกับฉัน เขียนเรื่องอะไรกันแน่น้า จะไม่เขียนลงบล็อกหน่อยเหรอ ไม่งั้นฉันไม่ได้อ่านนะ” ปรากฎว่ามีแฟนๆมาตอบว่า “งั้นก็สมัครรับเมล์สิ” แต่แบบนั้นมันไม่ได้น่ะสิ ก็เอโกะซังไม่อยากให้ฉันอ่านก็เลยเขียนลงใน SKE48 mail ไง หลังจากนั้นเพราะเป็นแบบนี้ เอโกะซังก็เลยเขียนถึงฉันลงในบล็อก “บ้าง”

- สุดท้ายก็วนกลับมา ทั้งๆที่แค่อยากคุยด้วยแต่ต้องลำบากขนาดนี้ (หัวเราะ)

ชูริ: เดิมความสัมพันธ์ของ “เอโกะชูริ” น่ะจมอยู่ใต้น้ำค่ะ แต่หลังๆนี่หมือนว่าแฟนๆ SKE48 จะเริ่มสังเกตเห็นกันแล้ว แต่สื่อที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ก็มีแค่กองบก. 100% เท่านั้นแหละค่ะ

- แน่นอนอยู่แล้วครับ (หัวเราะ) แล้วก็แปลกใจมากด้วยที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ “เอโกะชูริ” ถ่ายแบบด้วยกันสองคน

เอโกะ: ใช่ค่ะ เมื่อก่อนไม่เคยถ่ายด้วยกันสองคนเลย

- จะว่าไป เอโกะซังเคยเขียนเรื่องพวกนี้ลงใน SKE48 mail หมดแล้วมั้ง?

เอโกะ: เอ่อ “วันนี้ชูริซังพูดมาแบบนี้ล่ะ ดีใจมากๆเลย” อะไรประมาณนั้นค่ะ...(หน้าแดง)

ชูริ: ฮ่าๆๆๆ

- ตอนนี้น่ะ เป็นสีหน้าของเด็กสาวที่กำลังอยู่ในความรักไม่ใช่เหรอครับ (หัวเราะ)

เอโกะ: ฮื่ออออ!

- ฮ่าๆๆๆๆ ไม่กี่วันก่อนตอนที่นัดกันที่ชินจูกุ ทาคายานางิซังก็ให้ของขวัญวัดเกิดเอโกะซังด้วยนี่ครับ

ชูริ
: ใช่ค่ะ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการแต่งหน้า ที่เลือกของขวัญชิ้นนี้มันมีที่มานะคะ เพราะว่าเอโกะซังเคยบอกฉันว่าฝันอยากจะเป็นนางแบบในอนาคต นั่นเป็นตอนที่เอโกะซังยังไม่ได้บอกใครเลยเกี่ยวกับความฝันนี้

เอโกะ: ชูริซังเป็นคนแรกค่ะที่ฉันเปิดใจคุยเรื่องความฝัน ที่ผ่านมาไม่เคยบอกใครเลย ได้แต่เก็บเอาไว้

ชูริ: เพราะงั้นฉันเลยบอกว่า “จะต้องพูดความคิดของตัวเองออกมานะ” สนับสนุนผลักดันเธอแบบนั้น จากนั้นเอโกะซังก็ค่อยๆเริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แล้วก็ได้งานของ LOVE berry ด้วย อีกอย่างเพราะเธอเคยบอกว่ากำลังศึกษาเทคนิคการแต่งหน้าอยู่พอดี ดังนั้นก็เลยให้เป็นอันนี้ค่ะ

เอโกะ: ชูริซังคอยคิดถึงเรื่องของฉันตลอดเลย

ชูริ: ก็เพราะว่าฉันเป็นคนแรกที่เอโกะซังเปิดใจด้วยไง ยังไงก็ต้องดูแลเป็นพิเศษน่ะ

- สายสัมพันธ์ของทั้ง 2 คน ผมคิดว่าได้สร้างกระแสใหม่ๆให้กับ SKE48 เลยนะ ทั้ง 2 คนไม่อยากลองจัด SHOWROOM ด้วยกันหน่อยเหรอครับ? แบบหันหน้าเข้าหากัน

ชูริ: ไม่ได้ๆๆๆ

เอโกะ ยังไงก็ไม่ได้ค่ะ!

ชูริ: แต่ว่า ก็อยากจะจัด SHOWROOM ด้วยกันสักวันเนอะ

เอโกะ: อยากจัดด้วยค่ะ! สักวันมาจัด SHOWROOM ด้วยกันนะคะ!

- เอโกะซังบอกไว้ในบล็อกว่า “ถ้าได้จัดรายการพิเศษกับชูริซังล่ะก็ มีเรื่องเยอะแยะเลยที่อยากคุย” ใช่มั้ยครับ อยากคุยอะไรบ้างล่ะ?

เอโกะ: อืมมม จะพูดยังไงดีนะ...ฉันเป็นพวกที่มีบางเรื่องที่ยังไงก็ไม่อยากเอามาคุยกับคนอื่น แม้แต่คนในครอบครัวก็ด้วย

ชูริ: ฉันก็เป็นเหมือนกัน

เอโกะ: ขนาดตอนที่คุยกับชูริซังครั้งแรกก็ไม่ใช่ต่อหน้านะคะ แต่ใช้คุย LINE เอาน่ะ

ชูริ: จริงด้วย ตอนที่คุยกับเอโกะซัง ทั้งที่ตอนนั้นเธอบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ” แต่เย็นวันนั้นกลับส่ง LINE มา

เอโกะ: วันนั้นน่ะ ทำไมอยู่ๆถึงอยากคุยกับชูริซังกันนะ? ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ชูริ:  ฉันก็ไม่คิดว่าจะ LINE มา

เอโกะ: มันรู้สึกแบบว่า ถ้าเป็นชูริซังล่ะก็ คงพูดได้แน่

ชูริ: ฉันว่าอาจเป็นเพราะตอนนั้นสถานการณ์ของเรา 2 คนคล้ายกันล่ะมั้ง ตอนนั้นเอโกะซังแม้จะมีเรื่องกลุ้มใจแต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ ตอนนั้นในทีมฉันเองก็อยู่ตรงจุดนั้นเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่า “ฉันก็เหมือนกัน” เลยกลายเป็นว่าสามารถพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกมาได้

เอโกะ: ที่ได้พูดออกมามันทำให้ฉันรู้สึกดีมากค่ะ ตั้งแต่นั้นมีเรื่องอะไรก็จะ LINE บอกชูริซังตลอด

- นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นแหละ อาจเรียกว่าเป็นโมเม้นต์ที่เอโกะซังเกิดใหม่เลยก็ได้นะครับ ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนในทัวร์ที่ชิบะ ทาคายานางิซังก็กอดไปหนึ่งทีด้วย

เอโกะ: ค่ะ! เพราะฉันขอชูริซังไปว่า “ช่วยบอกว่า “สู้ๆนะ” กับฉันหน่อยค่ะ”

ชูริ: ฉันเลยบอกไปว่า “สู้ๆนะ สู้ๆ ไม่ต้องร้องไห้! แล้วก็ลูบหัวๆแล้วก็เดินกลับไป

เอโกะ: เท่มากเลย!

ชูริ: จะว่าไป เอโกะซังเคยพูดเรื่องที่น่าเสียใจด้วยครั้งนึง

เอโกะ: จำได้ค่ะ!

ชูริ: เรื่องนั้นน่ะ พอได้ยินฉันก็ตกใจจนร้อง “เอ๊!?” เลยล่ะ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาดนะ 

เอโกะ: ตอนนั้น สภาพฉันน่ะแย่มากเลยล่ะค่ะ

ชูริ:  เพราะฉันไม่อยากให้เอโกะซังคิดแบบนี้ ก็เลยดุเธอไปว่า “แบบนี้มันไม่ได้นะ”

เอโกะ: พอฉันถูกชูริซังดุก็เริ่มรู้สึกตัว หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติค่ะ

- เท่มากเลย (หัวเราะ)

ชูริ: บางทีการดุก็จำเป็นค่ะ แบบนั้นตัวเองก็จะมีความระมัดระวังด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นในงานจับมือช่วงคริสมาสต์เมื่อปีที่แล้ว

- จริงสิ ในงานอีเว้นท์อัลบั้มเอโกะซังก็เคยปลอบทาคายานางิซังด้วยใช่มั้ยครับ

ชูริ: มันเป็นช่วงที่ฉันกำลังย่ำแย่มากน่ะ

เอโกะ: ระหว่างที่ถ่ายรูปอยู่ พอดีเดินผ่านหน้าห้อง แล้วก็เห็นชูริซังกำลังร้องไห้อยู่

ชูริ: ตอนนั้นฉันสะดุ้งเลยค่ะ ก็ดูแน่ใจแล้วว่าไม่น่ามีใครเข้ามาแน่เลยเลือกห้องนั้นน่ะ

เอโกะ: ตอนนั้นฉันคิดในใจว่า “ชูริซังร้องไห้...” จากนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็เดินเข้าไปในห้อง ลูบหลังชูริซังเลยค่ะ

ชูริ: ตอนนั้นมีเรื่องเสียใจที่ไม่เกี่ยวกับงานค่ะ แต่ว่าตอนทำงานน่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องยิ้มให้ได้ อย่างเช่นตอนที่ตีแบดกับแฟนๆ  ยิ่งเป็นงานที่สนุกอย่างนี้ด้วย แต่จริงๆแล้วยังไงก็เก็บไม่อยู่เลยวิ่งไปร้องไห้ที่ห้องเก็บคอสตูม

- นี่บังเอิญผ่านไปพอดีเลยมองเห็น ดูท่าคุณสองคนจะมีด้ายแดงผูกกันอยู่นะครับ

ชูริ: นิยายเรื่องนี้ดูราคาถูกชะมัด!

เอโกะ: ถ้าชูริซังร้องไห้ ฉันคงเป็นห่วงมากเลยค่ะ

ชูริ: เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่ถ่ายทำ “Konya wa Join us” ก็เหมือนกัน พอเห็นฉันเดินร้องไห้ตรงทางเดิน เธอก็ LINE มาว่า “ชูริซังไม่เป็นไรนะคะ?”

เอโกะ: ก็เป็นห่วงจริงๆนี่ จริงสิ วันเกิดชูริซังเมื่อปีที่แล้วก็เหมือนกัน!

ชูริ: อ่า เรื่องนั้น ตอนวันเกิดน่ะแม้ KII ทุกคนจะมาอวยพร แต่ตัวฉันเองกลับรู้สึกว่าปีนั้นฉันไม่เติบโตขึ้นเลย ทั้งๆที่ทุกคนมาอวยพรให้ฉันอย่างมีความสุขแต่ตัวเองกลับรู้สึกไม่มีความสุขกับวันเกิดแบบนั้นได้...เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้นมากก็เลยร้องไห้ออกมาค่ะ

- สายสัมพันธ์ของทั้ง 2 คนข้องเกี่ยวกันบ่อยๆ งั้นขอถามซักนิดนะครับ คริสมาสต์ปีนี้นัดกันไว้ว่ายังไงบ้าง?

ชูริ: ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ! ก็คงจะจัดปาร์ตี้กับเมมเบอร์ KII ล่ะมั้ง? ตอนนั้นแค่นั่งข้างๆกันโดยไม่รู้ตัวเหมือนปกติก็พอแล้ว ถ้าสองต่อสองล่ะก็คงไม่ไหว!

เอโกะ: ฮ่าๆๆๆๆ

- จากนั้นสองคนก็ขอตัวออกมาจากงานปาร์ตี้ก่อน...

ทั้งคู่: ไม่ค่ะ!

-  ในคืนที่หิมะตกอย่างเงียบสงบ...

ชูริ: จะจิ้นคริสมาสต์แนวอีโรติคทำม้ายยย (หัวเราะ) แต่ว่า ตอนที่ทุกคนกำลังกินข้าวด้วยกันก็จะนั่งข้างกันโดยไม่รู้ตัวตลอดเลย

เอโกะ: นั่นสินะคะ (หัวเราะ)

ชูริ: เวลาอยู่ในห้องแต่งตัวก็ใช่ ไม่ว่าใครจะเข้ามาในห้องก่อน ก็จะมีที่ว่างที่นึงอยู่ข้างๆตลอดเลย

เอโกะ: ฮ่าๆๆๆๆ

- ในทีมเขาก็รู้กันทั่วนะครับว่าสองคนสนิทกันมาก



ศัตรูของนางฟ้า


- สุดท้ายนี้ ยังไงก็ยังอยากถามเรื่องงานเลือกตั้ง AKB48 หน่อย เอโกะซัง เป้าหมายปีนี้คืออะไรครับ?

(T/L note: บทสัมภาณ์นี้สัมภาษณ์เมื่อต้นปี 2017 ดังนั้นงานเลือกตั้งในนี้จึงหมายถึงงานเลือกตั้งปี 2017)

เอโกะ: ที่ปีก่อนได้อันดับ 35 ทั้งๆที่ติดอันดับครั้งแรกแต่ก็ได้อันกับที่ดีขนาดนั้น หลังจากประกาศ เมมเบอร์ที่ติดอันดับก็จะมายืนถ่ายรูปรวมกันใช่มั้ยคะ ตอนนั้นที่กำลังแนะนำ Next Girls อยู่ รู้สึกว่าตัวเองอยากจะไปยืนอยู่แถวแรกจริงๆค่ะ วิวที่เห็นในตอนนั้นยังตรึงอยู่ในใจ เพราะงั้นปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ Under Girls ค่ะ แล้วก็ซักวันนึงถ้าได้ไปยืนร้องเพลงอยู่ข้างๆชูริซังก็คงดี

ชูริ: โอ้ (เขิน)

- ส่วนทาคายานางิซัง ก็ตัดสินใจลงสมัครเร็วมากเลย

ชูริ: หลังจากจบงานเลือกตั้งปีที่แล้ว ก็ได้จัดงานพบปะแฟนๆค่ะ ตอนนั้นก็ได้ประกาศไว้แล้ว

- มีเป้าหมายที่ตั้งไว้มั้ยครับ?

ชูริ: อันดับ 8 ค่ะ เหตุผลเหรอ อย่างแรกเลยก็เพราะปีนี้ฉันซึ่งเป็นรุ่น 2 เข้ามาอยู่ SKE48 เป็นปีที่ 8 แล้ว แล้วก็คงมีวันที่ฉันจะออกจาก SKE48 หวังว่าหลังจากนั้นทุกคนจะยังเป็นแฟน SKE48 ต่อไป อีกอย่าง พอหมุนเลข 8 ไปอีกทางก็จะเป็นอินฟินิตี้ใช่มั้ยคะ ฉันเชื่อในความรักของแฟนๆที่ไม่มีวันจบสิ้นค่ะ...นั่นแหละเป็นเหตุผลอย่างที่สอง

- ถ้าแบบนั้น ก็ไม่ได้ตั้งเป้าที่คามิ 7 แต่ตรงนี้ก็คาดหวังไว้เหมือนกันใช่มั้ยครับ?

ชูริ: ค่ะ พูดถึงอันดับ 7 ไม่ว่ายังไงก็จะนึกถึงอาคาริน (สุดะ อาคาริ) เมื่อปีที่แล้วตลอดเลย ก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากติดใน 7 อันดับนะคะ แต่แค่สำหรับฉันแล้ว อันดับ 8 เป็นอันดับที่เหมาะสมน่ะค่ะ

- ปีนี้ลงเลือกตั้งอย่างไม่ลังเลเลยซักนิด

ชูริ: ก็ขนาดคนที่ประกาศไปแล้วว่า “ปีนี้เป็นปีสุดท้าย” ยังลงได้เลยนี่คะ!

เอโกะ: ฮุๆๆๆๆ

ชูริ: โอบะ มินะ ก็พอกันนั่นแหละ!

- ถ้ามีเพื่อนมาด้วยเยอะขึ้นก็ไม่น่ากลัวแล้ว!

ชูริ: แต่ว่าฉันแค่อยากให้ทุกคนเข้าใจ นั่นคือจิตใจของพวกเรามันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ!

- นั่นสินะครับ แล้วความมุ่งมั่นที่จะเป็น “วงที่คนติดอันดับมากสุด” ซึ่งหลุดมือไปเมื่อปีที่แล้ว ก็คงจะมากขึ้นด้วยสินะ?

ชูริ: ปีนี้ (โอยะ) มาซานะซังกับคาโอตัน (มัตสึมุระ คาโอริ) ก็ลงสมัครด้วย ก็มีความรู้สึกว่าเราน่าจะคว้ามันกลับมาได้

- ปีนี้ดูมองโลกในแง่ดีมากเลยนะครับ

ชูริ: ใช่ค่ะ! ไม่พูดอะไรในแง่ลบอีกแล้วล่ะ!

เอโกะ: ถ้าพูดออกมาอาจโดนตบได้น่ะค่ะ

- “ถ้าพูดอะไรในแง่ลบออกมาจะโดนตบ” สัญญากับโอบะซังไว้อย่างนี้สินะ เอโกะซัง ในงานเลือกตั้งนี่มีเมมเบอร์ที่จับตามองมั้ยครับ?

ชูริ: อ่า เรื่องนี้ฉันก็สงสัยเหมือนกัน มีเมมเบอร์ที่ไม่อยากยอมแพ้มั้ย?

เอโกะ: เอ่อออ จะว่ามีก็มีค่ะ...พูดออกมาได้ใช่มั้ยคะ?

ชูริ: แต่ว่า ฉันก็พอรู้สึกได้อยู่บ้างล่ะ เป็นเมมเบอร์ในทีมเดียวกันใช่มั้ย?

เอโกะ: ค่ะ อยู่ทีมเดียวกัน

ชูริ: นอกจากเด็กคนนั้นก็คงไม่มีใครแล้วล่ะ ไม่ต้องบอกก็ได้นะ!


- สุดท้ายก็ถูกความรักของทาคายานางิซังปกป้องไว้ได้นะ (หัวเราะ)

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

(91)[100%SKE48 Vol.2] แปลบทสัมภาษณ์มินารุน (โอบะ มินะ)

โอบะ มินะ ใช้ชีวิตอยู่ในนาโกย่าจากลบก็เปลี่ยนเป็นบวกได้





โอบะ มินะ ผู้ซึ่งได้เริ่มควบทีมเมื่อปี 2013 และย้ายวงมาเต็มตัวเมื่อปี 2014 และตอนนี้เธอก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ส่องสว่างเป็นประกาย ความรู้สึกต่อ SKE48 ที่ยอมรับและเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำในตอนนี้ เธอพูดออกมาเยอะเลย

ชินคันเซ็นในวันนั้น


- เอ่อ จะว่าไงดี ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ (หัวเราะ)

มินารุน: ฮ่าๆๆๆ ฝากตัวด้วยค่ะ

- เพราะเป็นโอกาสพิเศษเลยอยากให้โอบะซังเลือกสถานที่ถ่ายทำเป็นที่ๆชอบในนาโกย่า เราได้บอกผ่านทางสตาฟฟ์ไป อยากทราบว่าเหตุผลที่เลือกย่านการค้าโอสุนี่คืออะไรครับ?

มินารุน: ที่จริงแล้ว ปกติชีวิตฉันก็วนเวียนอยู่แถวซาคาเอะนี่แหละค่ะ ไม่ว่าอะไรก็มีหมด ขนาดไปถามเมมเบอร์ก็บอกประมาณว่า “(ในนาโกย่า) ก็ต้องซาคาเอะนี่แหละ (หัวเราะ)” ทั้งนั้นเลย แต่ว่าหลังจากมาอยู่ SKE48 ได้ประมาณปีนึงก็ได้รู้ว่ามีย่านการค้าโอสุอยู่ ฉันชอบความรู้สึกแบบท้องถิ่นสงบๆน่ะค่ะ ตอนแรกเป็นคาโอตันพามาทัวร์ขี่จักรยาน ฉันก็คิดว่าในย่านการค้าคงไม่ให้ขี่จักรยานเลยลงไปเดินจูงจักรยานแทน ปรากฎว่าคาโอตันดันขี่เข้าไปเฉย ฉันก็แบบว่า “คนเยอะนะเห้ย!” (หัวเราะ)

- เหมือนเวลาขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกแล้วดันถอดรองเท้าก่อนขึ้นเครื่องสินะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าสุดยอดไปเลยนะ เสร็จงานก็ตรงกลับบ้าน ไปขี่จักรยานเล่นกับเพื่อนๆ พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยจะมีแบบนี้เท่าไหร่ ทั่วไปก็น่าจะช่วงประถมล่ะมั้ง

มินารุน: นั่นสิคะ! บางทีตอนนี้น่าจะได้ใช้จักรยานมากกว่าตอนประถมอีก ตอนอยู่ AKB เมมเบอร์ไม่มีอยู่ใกล้กันอย่างนี้

- หลังจากจบสเตจที่อากิฮาบาระ มีขี่จักรยานเที่ยวกับเมมเบอร์แบบนี้มั่งมั้ยครับ?

มินารุน: ไม่มีค่ะ! ...ถึงตอนนี้จะชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว แต่มาคิดดูดีๆมันไม่ใช่ปกติเลยนะ (หัวเราะ)

- ในมุมมองของคนนอก การที่ได้มาใช้ชีวิตแบบนี้ในนาโกย่า พวกเรารู้สึกสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของโอบะซังมากเลยครับ แต่ยังไงก็เป็นเมืองที่อยู่ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยครับ นาโกย่าเนี่ย

มินารุน: ปีแรกที่เริ่มต้น (ควบทีม) ไม่ว่างานจะจบเร็วหรือช้าฉันก็จะตรงกลับโตเกียวตลอดเลยค่ะ หรือบางทีค้างคืนนึงวันรุ่งขึ้นก็จะนั่งชินคันเซ็นกลับเลย แม้ตอนนี้จะพูดถึงได้อย่างสบายใจแล้วแต่ตอนนั้นมันลำบากจริงค่ะ ตอนที่ถูกเลือกให้มาควบ SKE48 พอมานาโกย่าเพื่อทักทายทำความรู้จัก วันรุ่งขึ้นก็ให้ถ่าย MV Ustukushii Inazuma เลย ความรู้สึกไม่สบายใจตอนที่นั่งชิงคันเซ็นมานาโกย่าในตอนนั้นยังจำได้ดีเลยค่ะ ไม่มีวันลืมเลยล่ะ

- ทำไมถึงปิดกั้นตัวเองแบบนั้นล่ะครับ?

มินารุน: แน่นอนว่าการควบทีมมันมีแรงกดดันค่ะ แล้วก็เพราะรู้ว่าคิตาฮาร่า(ริเอะ)ซังที่เคยมาควบทีมก่อนลำบากมากๆ อีกอย่างฉันได้รับคำชี้แนะมาว่า “SKE48 น่ะเด็กผอมๆเยอะนะ ลดน้ำหนักซะเถอะ ทางที่ดีย้อมผมดำจะดีกว่านะ” อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) เพราะงั้นตอนที่นั่งชินคันเซ็นมาเลยตื่นเต้นมาก รู้สึกแบบว่า “ต่อจากนี้จะต้องไปอยู่นาโกย่าสินะ”

- เหมือนตั๋วเที่ยวเดียวไปสู่สมรภูมิรบเลยนะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าจากสภาพในตอนนั้นจนเป็นที่ยอมรับแบบวันนี้สุดยอดเลยนะครับ ว่าแต่ เดิมโอบะซังก่อนมาเข้า AKB48 ก็ได้ใช้ชีวิตเด็กมัธยมธรรมดามาเต็มที่เลยนี่ครับ

มินารุน: ใช่ค่ะ (หัวเราะ)

- งั้น ทำไมถึงมาเป็นไอดอลล่ะ?

มินารุน: อาจเป็นเพราะ...ที่ตรงนี้มันเหมือนเป็นอีกมิตินึงน่ะค่ะ แม้ว่าวันๆนึงจะสนุกมาก แต่ช่วงเทอมสองของม.ปลายปี 2 ก็ต้องเลือกทางเดินชีวิต แต่ฉันก็คิดตลอดเลยว่า “ฉันอยากเป็นไอดอล! อยากเข้าสู่วงการบันเทิง!” แม้จะใช้ชีวิตปกติธรรมดาแบบนั้น แต่ยังไงความฝันก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพราะงั้นก็เลยอยากมาเป็นไอดอล ได้ใช้ชีวิตธรรมดามาเต็มที่แล้วความฝันยังเป็นจริงด้วย เป็นอะไรที่มีความสุขสุดๆเลยใช่มั้ยล่ะคะ

- ประมาณว่า ได้สนุกทั้งสองทาง

มินารุน: ค่ะ (หัวเราะ) ฉันน่ะอยากมุ่งไปในทางที่มันสนุกๆ อยากเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด! อยากให้ความฝันทั้งหมดเป็นจริงค่ะ

- อะฮ่าๆๆๆ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจริงๆนะครับ เพราะเป็นแบบนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่แค่ไหนก็ผ่านมันมาได้เองโดยธรรมชาติสินะครับ

มินารุน: มองย้อนกลับไป 7 ปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่ต้องขอบคุณคือโอกาสที่ได้รับมาค่ะ ไม่นานมานี้ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะฉันไม่ละทิ้งเรื่องสีเทาๆในอดีต ตอนนี้ก็เลยสามารถยืดอกอย่างภูมิใจได้ อันที่จริง การได้มา SKE48 ทำให้จิตใจฉันเปลี่ยนไปนะ ในฐานะคนธรรมดาคนนึงฉันค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆน่ะค่ะ

- โอบะซังในตอนนี้ ไม่ว่าจะในฐานะคนธรรมดาหรือในฐานะไอดอล ดูเหมือนว่าจะมาถึงช่วงที่รุ่งแล้วนะครับ จริงๆนะ

มินารุน: ขอบคุณค่ะ ตอนที่อยู่ AKB48 ก็เคยผ่านช่วงพีคมาเหมือนกัน ก็รู้สึกได้ว่ามันกลับมาดีอีกครั้ง (หัวเราะ) ตอนที่ประกาศควบทีมที่บุโดกัน (คอนเสิร์ต AKB48 Group Rinji Soukai เดือน 4 ปี 2013) ก่อนหน้านั้นฉันยังคิดอยู่เลยว่า “ฉันน่ะ คงจะไปเรื่อยๆแบบนี้ล่ะมั้ง” ตำแหน่งยืนก็คงค่อยๆตกมาข้างหลัง ก็คงเท่านี้ล่ะมั้ง ในขณะที่เริ่มรู้สึกแบบนั้นก็ประกาศควบทีม เพราะงั้นถือว่าเป็นโอกาสที่ดีค่ะ

- ในสภาพแบบนั้น คงคิดไม่ถึงว่าจะได้ควบทีมสินะครับ

มินารุน: เรื่องนั้นก็เคยคิดเหมือนกันนะ แบบว่า “บางทีอาจจะได้ควบก็ได้” จริงๆก็อยากลองควบวงมาตลอด บ้าจริงๆเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ

พวกสุดโต่งน่ะแค่คนเดียวก็พอ


- อ่า นี่อาจจะเป็นภาพที่เราคิดเอาเองนะครับ แต่ว่าโอบะซังดูเป็นคนที่เย็นชา ชอบพูดเสียดสี ไม่ใช่คนที่จะพยายามรุกไปข้างหน้าเลย (หัวเราะ)

มินารุน: คงเริ่มเป็นตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่แล้วน่ะค่ะ มันมีช่วงที่ฉันคิดว่าทำแบบนั้นแล้วมันเท่ (หัวเราะ) แต่ว่าก็ไม่ใช่เพราะย้ายมา SKE48 ถึงได้เปลี่ยนไปหมดนะคะ แค่เริ่มรู้สึกว่าแบบนั้นมันไม่ได้เท่ซักหน่อย ตอนนั้นยังเด็กจริงๆ (หัวเราะ)

- เพราะยังเด็กสินะ (หัวเราะ) โอบะซังที่เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในเมมเบอร์ที่เป็นเสาหลัก เป็นผู้นำของ SKE48 นะครับ

มินารุน: ฮุๆๆๆ ไม่ห่าง(จากเสาหลัก)เท่าไหร่หรอกค่ะ

- จากตรงนี้ มองเห็นอะไรที่ SKE48 ในตอนนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมั่งมั้ยครับ?

มินารุน: อืม เรื่องนี้ ปีสองปีมานี้ก็ได้คุยกับหลายๆคน เมมเบอร์ก็เคยมีพูดใน SHOWROOM เหมือนกัน มีหลายเรื่องเลยค่ะ

- อย่างพวกรายการประจำทางทีวี หรือทัวร์คอนเสิร์ต

มินารุน: แต่ว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราพูดแล้วจะทำได้เลย อย่างเช่นว่า “HKT48 ได้ทัวร์อยู่แหละ!” พูดไปมันก็ไม่มีวันจบ เพราะงั้นสิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือ คิดว่าทำยังไงการแสดงในเธียเตอร์ตอนนี้ถึงจะสนุกแล้วก็ลงมือทำ คือถ้าช่วงไหนพวกเราร้อนใจกันเกินไป แล้วไปพูดว่าแย่แล้วๆพูดนั่นพูดนี่ ยิ่งพูดไปถึงหูแฟนๆ มันจะกลายเป็นว่าทุกคนบอกแย่แล้วๆกันหมด แบบนั้นเป็นความผิดพวกเราทั้งหมดเลยนะ!

- เหมือนที่ในรายการ Zero Position พูดด้วยสายตาดุดันเหมือนนักรบว่า “ประกาศแยกตัว!” (หัวเราะ) เป็นพวกสุดโต่งที่แท้เลยนะครับ!
[T/N: ช่วงปี 2016 ที่ SKE ไม่มีรายการประจำ ออกสื่อก็น้อย ครั้งนึงรายการ Zero Position ได้จัดให้เมมเบอร์มาคุยกัน แล้วมินารุน คาโอตันและอายะก็คุยกันว่าอยากให้ SKE แยกตัวออกจากกรุ๊ป]

มินารุน: จริงๆนะคะ! ทั้งๆที่พวกสุดโต่งน่ะมีแค่คาโอตันคนเดียวก็พอแล้ว แต่ฉันก็โดดเข้าไปร่วมด้วย ประมาณ 1 ปีมานี้เป็น(พวกสุดโต่ง)ตลอดเลยค่ะ ถึงขั้นว่ามีช่วงที่เมมเบอร์ครึ่งนึงมาเป็นแนวร่วมด้วยเหมือนกัน แบบนั้นมันแย่มากเลยล่ะ ในที่สุดก็ตาสว่าง...

- ถ้าเป็นมัตสึมุระซังล่ะก็แบบนั้นคงไม่เป็นไร แต่ถ้าทุกคนเป็นกลายเป็นผู้ก่อการร้ายแบบนั้นล่ะก็ ประเทศคงแย่นะครับ (หัวเราะ)

มินารุน: แม้ฉันทำงานในฐานะเซมบัตสึมาตลอดก็พูดอะไรมากไม่ได้ ยิ่ง (ไซโต้) มากิโกะเป็นกัปตันด้วยแล้ว จะพูดอะไรตามใจไม่ได้เด็ดขาด ทางฝั่งแฟนๆก็เหมือนกัน ถ้าเมมเบอร์มัวแต่คิดแบบนี้แล้วทำให้บรรยากาศแปลกๆไป ดูแล้วคงรู้สึกแย่ เพราะงั้นฉันว่าแรกสุดคือ ต้องพยายามกับสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้เกินขีดจำกัดของมัน จะทำยังไงให้สนุกแม้กับเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน เมมเบอร์เองนั่นแหละต้องสนุกก่อน ถ้าแม้แต่เมมเบอร์เด็กๆก็ถูกถามว่า “นี่มันวิกฤติสินะ?” ฉันว่านั่นแหละ “วิกฤติแล้ว”

- (เรื่องที่คุย)เริ่มหนักขึ้นๆแล้วสิ

มินารุน: เพราะงั้นสนุกกับมันโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น! บางทีเมมเบอร์โตแล้วอาจจะคิดว่า “ถึงตอนนี้แล้วยังจะพูดเรื่องพวกนี้อีก” ก็ได้ ไม่ว่าจะจบการศึกษาหรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่อันดับแรกคืออยากให้ทำไปด้วยความรู้สึกสนุก สิ่งที่ฉันอยากขอตอนนี้คือ อยากให้ความรู้สึกนี้ส่งไปถึงแฟนๆด้วย อยากให้เรามุ่งไปในทางที่ดี ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไรฉันก็จะใช้ชีวิตให้สนุก ตัดสินใจแล้วล่ะ!

- การตัดสินใจนี้ ทำให้ประกาศว่า “งานเลือกตั้งปีหน้าก็จะพุ่งไปข้างหน้า” หรือเปล่าครับ?

มินารุน: อ่า เรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ค่ะ แต่ว่าก็มีสตาฟฟ์เคยถามเหมือนกันประมาณว่า “กำลังคิดจะจบการศึกษาเหรอ?” พอบอกความรู้สึกจริงๆไป (สตาฟฟ์)ก็แบบว่า “เอ๊ะ? งั้นหรอกเหรอ?”

- แบบว่า “ยังไม่คิดหรอกเหรอ?” (หัวเราะ)

มินารุน: ใช่เลยค่ะ! เพราะงั้นฉันเลยถามกลับว่า “เอ๊ะ? ไม่ได้เหรอ?” (หัวเราะ)

- บางทีคนรอบข้างอาจจะสังเหตเห็นอะไรบางอย่างก็ได้นะครับ แบบว่า “ต้องช่วยคิดเรื่องเส้นทางต่อไปของโอบะแล้วล่ะ”

มินารุน: แม้ว่าเมมเบอร์ที่อายุขึ้น 20 แล้วจะได้เป็นเซมบัตสึมาก่อน แต่พวกเราเองก็ยังพยายามอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) ในงานจับมือก็มีคิดพลิกแพลงนู่นนี่ทำให้ทุกคนสนุก เพราะงั้นเวลาถามอะไรมา ก็จะรู้สึกแบบว่า “อ้าว ยังไม่ได้คิดเลยเหรอ?” (หัวเราะ) อีกอย่าง ฉันอุตส่าห์กลับมาได้ถึงจุดนี้แล้วทั้งทีนี่

- พูดถึงอันดับเลือกตั้ง ปีนี้ได้อันดับ 22 ก็เป็นอันดับที่สูงที่สุดของตัวเองด้วยสินะครับ ทุกปีก่อนเลือกตั้งเราจะมีคุยกับพวกแฟนๆ กับพวกคนที่เกี่ยวข้อง ทายผลอันดับกัน ปีนี้มีหลายเสียงเลยที่บอกว่า “โอบะอาจจะเข้าถึงเซมบัตสึ” ระดับเดียวกับมุไคจิ มี่อง ทาคาฮาชิ จูริ อะไรแบบนี้เลยล่ะ

มินารุน: ฮ่าๆๆๆ ตามปกติคงไม่มีทางหรอกค่ะ (หัวเราะ) จะว่าไงดี มาจนถึงตอนนี้ฉันก็ทำเพื่อตัวเองมาตลอด เป็นตัวฉันเองที่อยากให้มีผลลัพธ์อะไรออกมาบ้าง แต่ถึงอันดับจะตกลงแค่ไหน ตราบใดที่พยายามทำและสนุกไปกับมันก็จะมาถึงจุดนี้ได้ ฉันอยากให้รุ่นน้องได้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้มากกว่า ดังนั้นปีหน้าฉันก็คิดว่าจะลงเลือกตั้งด้วย

- เป็นเพราะความคิดเปลี่ยนไป ถึงได้กลับคำ เรื่องที่เคยบอกว่า “ปีนี้เป็นทีสุดท้ายที่จะลงเลือกตั้ง” ใช่มั้ยครับ?

มินารุน: เป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันทุ่มให้ SKE48 เพราะงั้นไม่ว่าจะคำพูดหรือความคิดยังไงก็ไม่มีโกหกค่ะ ฉันเชื่อว่าเรื่องที่ติดลบมันจะเปลี่ยนเป็นพลังบวก เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องปิดบังค่ะ

- จิตใจแกร่งอย่างกับพวกปรมาจารย์หมัดมวยเลยครับ (หัวเราะ) แบบท่วงท่าการเคลื่อนที่สอดประสาน

มินารุน: สนุกดีค่ะ! เพราะแบบนั้นมันถึงสนุกไง SKE48 เนี่ย

ตอนสุดท้ายน่ะตัดสินใจไว้แล้ว


- แม้จะเพิ่งบอกเอาตอนนี้ แต่คือ หัวข้อของ 100%SKE48 เล่มนี้เป็น “ความกล้า” ครับ มากิโกะซังซึ่งใกล้ชิดกับโอบะซังก็พูดใน Mihama Kaiyuusai ว่า “อยากกลับไปยืนที่นาโกย่าโดมอีกครั้ง” พวกเรารู้สึกได้ถึงความกล้าที่พุ่งออกมาเลยล่ะ

มินารุน: นั่นสินะคะ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราพูดไม่ออกนี่นา

- มันเป็นเพราะอะไรครับ?

มินารุน: ...เพราะเป็นบทสัมภาษณ์ของเล่มนี้ ฉันก็อยากพูด(แบบนั้น)เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าอยากจะเห็นภาพวิวนั้นอีกครั้ง หากไม่สร้างปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น คิดว่าคงเป็นไปได้ยากค่ะ ทัวร์ก็เลื่อนออกไปไม่ได้จัดต่อ หลายๆเรื่องที่สัญญาไว้แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำ เอาแต่พูดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เราอาจจะกลายเป็นวงที่ถูกมองว่าชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้นค่ะ แต่เพราะอย่างนั้นตอนนี้เราถึงยิ่งต้องมีเป้าหมาย มาคิดดูดีๆ ไลฟ์ของ SKE48 น่ะดีมากจริงๆนะ ฉันน่ะ มั่นใจในการแสดงคอนเสิร์ตของ SKE48 ที่สุด คุณภาพของสเตจก็ดีที่สุดของ 48 กรุ๊ปอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะมีคนพูดโจมตีวงเรา แต่สำหรับ performance น่ะเป็นเรื่องของร่างกายแต่ละคน

- ถ้าวัดแพ้ชนะในเรื่องนี้ล่ะก็ ไม่มีเหตุให้แพ้ได้เลย

มินารุน: ไม่มีอะไรด้อยกว่าเลยล่ะ ถ้าพูดให้ชัดก็คือ เป็นวงที่ไปต่อได้ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถึงเวลาวิกฤติก็มีความรู้สึกแบบ “มาทำให้เต็มที่กันเถอะ” ประมาณนั้นล่ะมั้งคะ เป็นระดับที่เรียกว่ายอดเยี่ยมเลยแหละ ไม่ว่ายังไง สำหรับ (การแสดง) บนเวที การจะทำยังไงให้มันออกมาสุดยอดได้ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญค่ะ

- ในอีกคอลัมน์นึงของเล่มนี้ พวกเราได้สัมภาษณ์เหล่าเทรนเนอร์ด้วย ได้ยินว่าเมมเบอร์ AKB48 จะพยายามซ่อนผ้าพันแผลไว้ด้านในของรองเท้าบูทเพื่อคงความน่ารักตามแบบไอดอลเอาไว้ แต่ว่าเมมเบอร์ SKE48 จะคิดถึงเรื่องว่าผ้าพันแผลเป็นอุปสรรคในการเต้นหรือเปล่าก่อน

มินารุน: ใช่แล้วค่ะ! ก่อนหน้านี้ ระหว่างแสดงสเตจอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนไหล่หลุด ปวดมากเลยค่ะ พอกลับเข้าหลังเวทีทุกคนก็ถามว่า “เอาไงดี?” ตอนนั้นแม้แต่ยกแขนก็ยกไม่ขึ้น เต้นไม่ได้แน่ๆ ก่อนอื่นเลยให้ลองพันผ้าไว้ก่อน

- “ก่อนอื่น” เนี่ยนะ (หัวเราะ)

มินารุน: ก่อนอื่นก็จะพันผ้าไว้ แล้วก็แสดงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (หัวเราะ) ก็พูดไปประมาณว่า “ไม่เป็นไร พันไว้ก่อน!” ถ้าเป็นสมัยที่อยู่ AKB48 อาจจะไม่ออกมาแสดงแล้วก็ได้ แต่ SKE48 น่ะ เราทำด้วยความรู้สึกแบบนี้จริงๆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นพลังของพวกเรา เพื่อให้ SKE48 ทั้งวงได้เล่นเคอนเสิร์ตในอารีน่าหลายๆที่พร้อมๆกับการออกทัวร์ทั่วประเทศ แล้วก็กลับไปยืนที่นาโกย่าโดมอีกครั้ง ฉันว่านี่คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของ SKE48 ในตอนนี้ค่ะ

- แฟนๆเองก็คงเดินไปพร้อมกับพวกคุณด้วยอยู่แล้วล่ะ สุดท้ายนี้ สำหรับตัวโอบะซังเอง มีอะไรที่อยากจะใช้ความกล้าทำมันออกมาบ้างมั้ยครับ?

มินารุน: ฉันชอบพูดอยู่บ่อยๆค่ะ คือในท้ายที่สุดฉันอยากจะเป็นที่จดจำในฐานะเมมเบอร์ SKE48 เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว อยากให้เขียนว่า “โอบะ มินะ (อดีต SKE48)” เพื่อการนั้น ฉันจะไปออดิทชั่นงานนอกให้เยอะขึ้น ถ้าได้งาน ก็อาจจะดึงเมมเบอร์คนอื่นๆใน SKE48 มาร่วมด้วยได้ ฉันคิดตลอดเลยล่ะว่าตัวเองคงจะพอทำอะไรได้บ้าง และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากทำให้สำเร็จค่ะ แม้ว่าจะอยู่มาเป็นปีที่ 8 แล้ว แต่ก็ยังมีความท้าทายใหม่ๆรอฉันอยู่! ยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะในสเตจหรืองานจับมือ แม้จะต้องรอให้งานเข้ามา การได้ทำงานไปตามจังหวะของมันเป็นสภาพแวดล้อมที่มีความสุขมากค่ะ

- แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องเคยชินไปซะแล้ว

มินารุน: แต่แทนที่จะระวังไม่ให้เคยชินจนเกินไป ฉันกลับคิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในสภาพแวดล้อมแบบนี้มากกว่า เพราะงั้นฉันเลยอยากแสดงให้เห็นว่าฉันน่ะเริ่มเปลี่ยนความคิดตัวเองและก้าวออกมานำคนอื่นหนึ่งก้าว ทั้งนี้ก็เพื่อ SKE48 และอาจจะเพื่อตัวของโอบะ มินะเองด้วย ดังนั้นระหว่างที่ยังอยู่ SKE48 นี้...ก็จะเปลี่ยนส่วนที่เป็นด้านลบให้เป็นด้านบวกด้วยความกล้าค่ะ

- ด้านลบนั้นคือ?

มินารุน: ก็เรื่องกลัวคนแปลกหน้า...อย่างถ้าเวลาออดิทชั่นแล้วไม่กล้ากับคนแปลกหน้า แบบนั้นแย่มากเลยไม่ใช่เหรอคะ!

- คุยกันมาถึงตรงนี้ เป้าหมายของโอบะ มินะนี่มันโคตรซิมเปิ้ลเลยนะครับ (หัวเราะ)  การเอาชนะความกลัวคนแปลกหน้าเนี่ย!

มินารุน: ก่อนอื่นเริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ...อ้าว จบ (การสัมภาษณ์) แล้วเหรอคะ? ยังพูดไม่จบเลยวันหลังต้องเรียกมาอีกนะคะ!

- ไม่เห็นจะกลัวคนแปลกหน้าตรงไหนเลย (หัวเราะ) แล้วจะมารบกวนอีกครับ!

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

(91)[100%SKE48 Vol.2] แปลบทสัมภาษณ์คุมะ x นาโอะ (คุมาซากิ ฮารุกะ x ฟุรุฮาตะ นาโอะ)



จูรินะซัง พวกเราจะแย่งมันมาค่ะ“อยากเป็นเซนเตอร์” ไม่ว่ายังไงก็ไม่เปลี่ยนแปลง



การจะก้าวข้ามมัตสึอิ จูรินะผู้เป็นเซนเตอร์มาอย่างโชกโชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่ามกลางสถานการณ์นั้นฟุรุฮาตะ นาโอะกับคุมาซากิ ฮารุกะก็ “ประกาศตัวจะเป็นเซนเตอร์” พวกเธอช่างกล้าบ้าบิ่นจริงๆ งั้นเหรอ? การประกาศนี้แฝงไว้ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงที่จะล้มล้างสถานการณ์ปัจจุบัน

ความหาญกล้าของทั้งสองคน


- 100%SKE48 เล่มสองที่ตีพิมพ์คราวนี้ ได้กำหนดธีมไว้ครับ...

นาโอะ, คุมะ: อ๊ะ อะไรเหรอคะ?

- “ความกล้าหาญ” ครับ ในสเตจวันเกิดของทั้งสองคนปีนี้ (ฟุรุฮาตะ วันที่ 26 เดือน 9, คุมาซากิ วันที่ 21 เดือน 9) ได้ประกาศว่า “อยากจะเป็นเซนเตอร์ SKE48” ด้วยใช่มั้ยล่ะครับ ผมคิดว่าตรงนี้ต้องมีความกล้ามากเลยล่ะ

คุมะ: ใช่ค่ะ! ลำพังแค่พูดก็ต้องใช้ความกล้าแล้ว ยังกังวลกับเสียงตอบรับของแฟนๆด้วย กลัวมากค่ะ ถึงจะลังเลแต่คิดว่ายังไงก็ต้องพูดออกไป ณ ที่ตรงนั้นให้ได้เลยรวบรวมความกล้าพูดออกไปค่ะ!

- ที่ประกาศว่าจะเป็นเซนเตอร์นี่ครั้งแรกเหรอครับ?

คุมะ: ตอนที่ได้เป็นเซนเตอร์ เพลง “Seifuku wo Kita Meitantei” ก็เคยพูดค่ะว่า “จะพยายามมายืนตรงนี้ให้ได้อีกครั้ง” แต่ว่าเรื่องที่อยากจะเป็นเซนเตอร์ของ SKE ทั้งวงนี่ยังไม่เคยพูดค่ะ

- แล้วฟุรุฮาตะซังล่ะครับ?

นาโอะ: ฉันน่ะ เคยเขียนใน SKE mail หลายรอบแล้วค่ะ เพราะงั้นแฟนๆฉันจะรู้ดี ในสเตจวันเกิดไม่ว่าจะพูดอะไรก็จะคิดว่าได้รับ(เมล์)กันมั้ยนะ แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีความกล้าค่ะ แต่ฉันคิดว่า “ไม่ว่าจะพูดอะไร ถ้าตอนอายุ 50 สามารถยิ้มกับมันได้ ก็พยายามพูดออกมาเถอะ!

- สักวันมันจะเป็นเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้ (หัวเราะ) แล้วที่พูดต่อหน้าแฟนๆครั้งนี้เป็นครั้งแรกรึเปล่าครับ?

นาโอะ: ใช่แล้วค่ะ

- จริงเหรอครับ ผมว่าการ “เขียน” ลงในบล็อกหรือเมล์นี่คนละเรื่องกับการ “พูด” ต่อหน้าแฟนๆเลยนะครับ

คุมะ: ถ้าเป็นเมล์เราพอคาดเดาแฟนๆได้ค่ะ จะตอบกลับมาอย่างใจดี แบบว่า “ถ้าเป็นคุมะล่ะก็ ทำได้แน่!” แต่การประกาศในเธียเตอร์จะมีแฟนๆของเมมเบอร์คนอื่นดูอยู่ด้วยใช่มั้ยล่ะคะ ก็ได้ยินความเห็นประมาณว่า “มันก็ยังยากอยู่ไม่ใช่เหรอ” แต่นั่นกลับทำให้ฉันรู้สึกมีไฟขึ้นมา!

- นาโอะซังอายุ 20 ปีแล้ว ดูเหมือนว่าการเข้าสู่ช่วงอายุที่งดงามนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน

นาโอะ: การอยู่ใน SKE กับเรื่องอายุนี่ก็เป็นอะไรที่น่าห่วงแน่นอนอยู่แล้วค่ะ เมมเบอร์เด็กๆน่ะมีอนาคตไกล ก็คิดว่าดีจังเลยน้า อายุ 20 แล้วก็รู้สึกได้ถึงช่องว่างค่ะ แต่ไอดอลก็มีส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับอายุอยู่เหมือนกันนะ การได้ทำงานตามที่ฝัน อายุไม่เกี่ยวหรอกค่ะ ตอนช่วงอายุสิบกว่าๆจะทำอะไรก็กลัวไปหมด จะพูดอะไรแต่ละคำก็กังวล พออายุ 20 ฉันจะพูดอะไรก็ได้แล้ว เหมือนมีบางอย่างที่เหมือนถูกปัดเป่าออกไป และเมื่อฉันเป็นคุณป้าอายุ 60 แล้ว ก็จะได้หัวเราะ ได้คุยว่า “ตอนนั้นช่างเป็นเด็กน้อยจังเลยน้า”

- เมื่อกี้ยังบอกว่าอายุ 50 อยู่เลย (หัวเราะ) พูดอีกอย่างก็คือ มองไอดอลด้วยมุมมองของชีวิตสินะครับ

นาโอะ: ใช่ค่ะ ฉันมองไปไกลเลยล่ะ ตอนนี้น่ะถ้าฉันอ่อนแอ ตัวตนฉันก็มีแต่จะโดนกลบ เพราะงั้นเลยคิดว่าทำอะไรตามใจตัวเองบ้างดีมั้ยนะ แบบนั้น ฉันว่า SKE48 ก็น่าจะเคลื่อนไปได้เองโดยอัตโนมัติเหมือนกัน


ความทะยานอยากของทุกคน


- นั่นคือสิ่งที่อยากถามอยู่พอดีเลยครับ กำลังคิดอยู่ว่าการที่ประกาศจะเป็นเซนเตอร์นี่มีมุมมองที่จะขับเคลื่อนเรือ SKE48 ไปยังไงบ้างมั้ยน่ะ

นาโอะ: เรื่องนั้นมีอยู่แล้วค่ะ

คุมะ: สำหรับฉันหนทางยังอีกยาวไกลจริงๆค่ะ ตอนที่ประกาศจะเป็นเซนเตอร์ ฉันว่ามันอาจจะยังส่งไปไม่ถึงแฟนๆบางส่วนก็ได้แต่สิ่งที่ฉันคิดก็คือ มันคงดีไม่น้อยถ้าทำให้เพื่อนๆรุ่นเดียวกันรู้สึกว่า “ถ้าคุมะตั้งเป้าหมายที่เซนเตอร์ละก็ ฉันก็อยากตั้งเป้าที่ตรงนั้นด้วย” ได้

-  ตั้งใจแบบนี้เองหรอกเหรอ

คุมะ: แม้จะตั้งใจแบบนั้น แต่ถ้าฉุดดึง(ทุกคน)ได้ก็คงดี อ๊ะ ที่พูดออกมาเหมือนอยู่เหนือคนอื่นต้องขอโทษด้วยค่ะ!

- ในเมื่อประกาศจะเป็นเซนเตอร์แล้ว แบบนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ

นาโอะ: ใช่ ไม่เห็นเป็นไรเลย!

คุมะ: งั้นหลอคะ? (T/N: ประโยคนี้น้องหมีพูดไม่ชัด)

- พูดไม่ชัดนะครับ (หัวเราะ)

คุมะ: ให้พูดอีกทีก็คือ ถ้าฉันกับนาโอะซังประกาศตัวว่าอยากจะยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ พวก (คิตากาว่า) เรียวฮะหรือ (อาซุม่า) ริองก็จะเริ่มคิดอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน ฉันว่าถ้าทำให้ความรู้สึกอยากจะไปข้างหน้ามากขึ้นมันแตกหน่อได้ก็คงดีค่ะ คามาตะ (นัตสึกิ) ก็บอกว่า “ฉันว่าฉันก็จะพยายามด้วยเหมือนกัน” ทานิ (มาริกะ) ซังก็ส่งเมล์มาว่า “พูดสปีชได้ดีมากเลย ฉันเองก็จะพยายามด้วย” คือฉันพูดไปว่า “ฉันคิดว่าถ้าทำให้ความทะยานอยากของเมมเบอร์แต่ละคนพุ่งสูงขึ้นได้ก็จะดีมาก” น่ะค่ะ ถ้าความกล้าของฉันทำให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ก็ดีนะ

- คุมาซากิซังนี่เป็นมุมของเมมเบอร์ ส่วนฟุรุฮาตะซังนี่ค่อนข้างเป็นมุมของโปรดิวเซอร์นะ ที่บอกว่า “ถ้าฉันประกาศจะเป็นเซนเตอร์ ก็น่าจะทำให้ SKE48 ดูตื่นเต้นขึ้นนะ”

นาโอะ: ถ้าฉันเป็น (มัตสึอิ) จูรินะซัง ฉันคงรู้สึกว่าการทำให้ดูน่าตื่นเต้นแค่เฉพาะเมมเบอร์ที่อยู่บนๆมันไม่มีประโยชน์ค่ะ จะต้องทำให้ทั้งวงดูน่าตื่นเต้นให้ได้ ถ้าเด็กๆที่ดูมีแววไม่กล้าพูดว่า “ฉันอยากจะเป็นเซนเตอร์” จูรินะซังคงจะเหงาน่าดูนะคะ พอคิดได้อย่างนั้น ยังไงก็ต้องพูดออกมาค่ะ






จากความคิดสู่คำพูด


- ทั้งสองคนมีนิยามในเรื่องการขับเคลื่อนวงแบบเดียวกันเลยนะครับ เรื่องนี้แม้จะอยากถามเมมเบอร์ SKE48 แต่ว่า...NMB48 กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้นพอดีเลย

คุมะ: จริงด้วยนะคะ!

นาโอะ: เอ๊ะ งั้นเหรอ? ฉันน่ะ เรื่องของวงอื่นไม่ค่อย...

- วันที่ 4 เดือน 7 ในคอนเสิร์ตจบการศึกษาของมิลกี้ (วาตานาเบะ มิยูกิ) ชิโรมะ (มิรุ) ซังก็ประกาศว่าจะชิงตำแหน่งเซนเตอร์ แล้วก็เพราะคำพูดนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เมมเบอร์คนอื่นค่อยๆทยอยออกมาประกาศจะเป็นเซนเตอร์

นาโอะ: อ๊ะ เคยอ่านจากนิตยสารค่ะ!

- นั่นแหละครับ (หัวเราะ) โอซาก้าน่ะ เริ่มเกิดการแย่งชิงตำแหน่งเซนเตอร์ เหมือนกำลังเข้าสู่ยุคสงครามเลย เราเลยอยากถามว่าเมมเบอร์ SKE มีสถานกาณ์แบบบนั้นบ้างมั้ย

คุมะ: ฉันเองก็ รู้สึกสนใจมากๆเหมือนกันค่ะ! เมมเบอร์คนนั้นคนนี้เริ่มประกาศตัวออกมา ไม่ว่าใครจะได้เป็นเซนเตอร์ก็ไม่มีใครยอมใคร มันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนวงเค้ากำลังเกิดใหม่เลยค่ะ ทุกคนดูเท่มากจนเริ่มอิจฉาเลย

- ที่ว่าอิจฉานี่หมายถึงสถานการณ์ที่มันน่าสนใจใช่มั้ยครับ?

คุมะ: ใช่ค่ะ อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ว่าอยากให้คำพูดของตัวเอง ทำให้เพื่อนๆรุ่นเดียวกันร้อนแรงกันมากขึ้น ส่วนนึงก็เพราะฉันเห็น NMB48 นั่นแหละค่ะ พอคอนเสิร์ตนั้นจบปุ๊บ ในทวิตเตอร์ก็ครื้นเครงขึ้นมาทันที พอรู้อย่างนั้นก็คิดว่าจะต้องทำให้ SKE48 ร้อนแรงขึ้นมาด้วยเหมือนกัน

- ถ้าพูดถึงความร้อนแรงล่ะก็ ต้อง SKE เท่านั้น!

คุมะ: ใช่แล้วค่ะ! SKE48 น่ะร้อนแรงสุดแล้ว! อยากให้คนทั่วไปได้รับรู้ถึงความร้อนแรงนี้ด้วย!

- แล้วฟุรุฮาตะซังล่ะครับ?

นาโอะ: ได้ฟังเรื่องที่คุยกันอยู่นี่ ก็รู้สึกว่ามันเหมือน SKE48 เมื่อไม่กี่ปีก่อนเลยค่ะ พอไม่มีมิลกี้ซังแล้ว เมมเบอร์คนอื่นๆก็ดิ้นรนต่อสู้กัน ฉันว่าการที่มีเมมเบอร์หลายๆคนลุกขึ้นมาสู้เป็นสิ่งที่ดีค่ะ ถ้าพูดถึง SKE48 ก็นึกถึงสมัยที่พวกโอกิโสะ (ชิโอริ) ซังกับ (คิซากิ) ยูริอะซังยังอยู่เป็นช่วงที่ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นเซนเตอร์ก็ดีทั้งนั้น ทุกคนต่างร้อนแรง แฟนๆที่ตามพวกเราก็เยอะมาก

- พูดถึงว่าร้อนแรง คำประกาศของฟุรุฮาตะซังก็ร้อนแรงนะครับ “จะชิงตำแหน่งเซนเตอรจากจูรินะซัง” เนี่ยช่างเป็นคำพูดที่แข็งแกร่ง

นาโอะ: จริงเหรอคะ?

- ในประวัติศาสตร์ของ SKE48 เป็นคำพูดที่แข็งแกร่งที่สุดเลยล่ะ บางที สำหรับตัวคุณมันอาจจะเป็นการแสดงออกที่เหมาะสมที่สุดแล้วแหละครับ

นาโอะ: มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจฉันมาตลอดค่ะ แต่คำว่า “อยากเป็นเซนเตอร์ค่ะ” มันอ่อนเกินไป เป็นคำพูดที่ใช้มาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ก็เลยอยากจะใช้คำพูดที่มีอิมแพ็คมากกว่านี้  คือพอพูดถึงเซนเตอร์ของ SKE48 ก็จะเป็นจูรินะซัง ฉันคิดว่าเราจะต้องทลายเรื่องนี้ลงให้ได้ เพราะงั้นฉันเลยคิดมาตลอดเลยค่ะว่าจะ “แย่งชิง” เซนเตอร์ ต้องแย่งเท่านั้น

- ก็ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครพูดแบบนี้มาก่อนเลยนี่นะ

นาโอะ: ด้วยการประกาศของฉันกับคุมะจัง มันอาจจะทำให้เมมเบอร์คนอื่นรู้สึกเจ็บใจและลุกขึ้นมาบ้างก็ได้ อีกอย่างมันเป็นอะไรที่คิดได้อย่างเดียวเท่านั้น

- เพราะว่าเป็นสเตจวันเกิดหลังจากสเตจของคุมาซากิซัง 5 วัน ยังไงก็ต้องแสดงออกให้ดูแข็งแกร่งให้ได้

นาโอะ: ฉันน่ะ ไม่รู้หรอกว่าคุมะจังก็พูดแบบนั้น!

คุมะ: เดี๋ยวๆ!

นาโอะ: ไม่ได้ตามข่าวน่ะ (หัวเราะ) แต่พอมารู้ทีหลังก็ดีใจมากเลยล่ะ!

- คุมาซากิซังเข้าใจความรู้สึกของการแสดงออกมาว่าจะ “แย่งชิง” มั้ยครับ?

คุมะ: นั่นสินะคะ...ฉันเองก็ไม่อยากจะเป็นเซนเตอร์แค่ครั้งเดียวแล้วจบเหมือนกัน ในความหมายนั้น ใช้คำว่า “แย่งชิง” ก็น่าจะถูกต้องนะ สำหรับฉันแล้ว ฉันอยากจะทำให้จูรินะซังรู้สึกร้อนใจค่ะ อยากเป็นคนที่ทำให้จูรินะซังรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว อยากให้เธอพูดว่าฉันเป็นคู่แข่งน่ะค่ะ แม้ในงานเลือกตั้งปีนี้ (2016) ซาชิฮาระ (ริโนะ) ซังพูดว่ามายูยุซัง (วาตานาเบะ มายุ) เป็น “คู่แข่ง” แต่ฉันคิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันดีมากๆเลย

นาโอะ: อ่า เข้าใจเลยล่ะ!

คุมะ:  ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะยังไม่อาจเป็นคู่แข่งใครได้เลยก็เถอะ...

- ถ้างั้น เมมเบอร์ที่คิดว่าเป็นคู่แข่งของตัวเองในตอนนี้คือใครครับ?

คุมะ: คงเป็น (คิตากาว่า) เรียวฮะค่ะ ด้วยความที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันด้วย แน่นอนว่าเรียวฮะน่ะเป็นคนที่ดึงดูดสายตามาก ทั้งสวย และ performance ก็เปลี่ยนไปมาก สุดยอดจริงๆเลยค่ะ


นาโอะและนานาโกะ


นาโอะ: สำหรับฉัน ตั้งแต่สุกะ นานาโกะ(รุ่นเดียวกัน)จบการศึกษาไป ก็ไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่งอีกเลยค่ะ เพราะเราทั้งแข่งกันทั้งช่วยเหลือกันมาตลอด...เพราะรู้ดีว่าการมีคู่แข่งมันสนุกแค่ไหน การไม่มีคู่แข่งเลยเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ถ้าได้แข่งกับใครซักคนก็คงดีนะคะ...

คุมะ: (ชูมือขึ้นมาทันที) ขอเสนอตัวค่ะ!

- โอ๊ะ อยู่ดีๆคุมาซากิซังก็ประกาศเป็นคู่แข่งซะแล้ว!

คุมะ: พอได้ฟังที่พูดเมื่อกี้ ถึงฉันจะแทนที่นานาโกะซังไม่ได้ แต่ฉันก็อยากเป็นคนที่นาโอะซังจับตามอง สักนิดก็ยังดีค่ะ

นาโอะ: ฮุๆๆ

- ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ไม่ได้มองอย่างนั้นเลยใช่มั้ยล่ะครับ

คุมะ: ทั้งที่ฉันอยู่ข้างๆนี่แท้ๆ (หัวเราะ) เรื่องนี้ฉันคิดว่าไม่พูดต่อหน้าเจ้าตัวคงไม่ได้ค่ะ ที่ฉันขอเสนอตัวตรงนี้เลยอาจจะทำให้ความสนใจของนาโอะซังเปลี่ยนไปนิดนึงก็ได้ เพราะงั้นขอเสนอตัวค่ะ!

- พูดออกมาต่อหน้าเจ้าตัวขนาดนี้ เรื่องใหญ่เลยนะครับ

คุมะ: ถ้าคิดแล้วไม่พูดออกมาเลยทันที คำพูดนั้นมันจะค่อยๆเฉาไปค่ะ
คุณสมบัติของเซนเตอร์

- การพูดออกมาต่อหน้าเจ้าตัวได้เนี่ย ถ้าต่อหน้าจูรินะซัง เป็นทางไหน(คุมะหรือนาโอะ)ที่พูดออกมาก่อนครับ

คุมะ: ก่อนหน้านี้ ตอนที่จูรินะซังจัด SHOWROOM ระหว่างพักในงานจับมือ ฉันก็พูดค่ะ

- แล้วรีแอคชั่นของจูรินะซังเป็นยังไงครับ?

คุมะ: เธอถามว่า “อยากเป็นเซนเตอร์แบบไหนเหรอ?

นาโอะ: พูดประมาณว่า “ถ้าได้เป็นเซนเตอร์อยากเล่นเพลงประมาณไหนเหรอ?” ค่ะ

- จูรินะซังยังดูชิลมากเลยนะครับ ถ้าให้พูดตามตรง ในสเตจครบรอบ 8 ปีพวกเราก็รอนะว่าทั้งสองคนจะพูดออกมาต่อหน้าจูรินะซังมั้ย

นาโอะ: อ่า

- ก่อนหน้าการประกาศว่าจะเป็นเซนเตอร์ เป็นช่วงของอีเว้นท์งานครบรอบเราก็รอดูอย่างตื่นเต้นว่าจะมี “เหตุการณ์” อะไรเกิดขึ้นรึเปล่า

คุมะ: แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสินะคะ

- อีกอย่าง ด้วยความที่เป็นนิตยสาร คนที่จะได้รับเลือกขึ้นปก 100%SKE48 มักขึ้นอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันน่ะครับ ซึ่งในเวลานั้นทั้งสองคนก็ประกาศจะเป็นเซนเตอร์พอดี เราก็อยากให้คนที่ทำให้วงดูน่าสนุกขึ้นมาขึ้นปก ดังนั้นขอให้รอดูทั้งสองคนได้เลยครับ

นาโอะ: ดีใจจัง!

- แพ้ชนะจะวัดกันหลังจากนี้สินะครับ แต่เพียงแค่เต้นแรง หรือเพียงแค่น่ารักคงจะชิงตำแหน่งเซนเตอร์มาไม่ได้ หลังจากนี้ได้คิดกลยุทธ์อะไรไว้บ้างมั้ยครับ?

นาโอะ: ฉันไม่ใช่ประเภทที่คิดคำนวณไว้ล่วงหน้าด้วยสิคะ...แต่ฉันคิดว่าการทำให้ความรู้สึกแฟนๆเปลี่ยนแปลงไปได้คราวนี้มันยิ่งใหญ่มาก ถ้าเราแน่วแน่มั่นคง แฟนๆก็จะเบาใจแบบว่า “ไม่เป็นไรแล้วเนอะ”

คุมะ: การต่อสู้คราวนี้ค่อนข้างยากนะคะ ฉันว่าฉันยังพูดได้ไม่ดีพอ

- ถึงจะพูดได้ไม่ดีพอ แต่ถ้าสามารถส่งความรู้สึกไปได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?

นาโอะ: ใช่แล้วล่ะ! คุมะจังน่ะแค่ส่งความร้อนแรงไปได้แบบนั้นก็พอแล้วล่ะถ้าเอาจริงน่ะนะ เพราะเธอเป็นเด็กที่สื่อสารเก่ง

คุมะ: ฉันน่ะเอาจริงค่ะ! ฉันเขียนขอพรที่วัดตลอดเลย มีผ้าขนหนูที่เขียนว่า (Kanae) ของสถานี Kanae eki แขวนอยู่ในห้องด้วย ( T/N: ชื่อสถานี Kanae eki เมืองอิอิดะ จังหวัดนากาโนะ พ้องเสียงกับคำว่า Onegai Kanaeru ที่แปลว่า “คำขอเป็นจริง” เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่น) ยังมีอีกอย่างนะคะ ตุ๊กตาตุ๊กแกที่คุณน้าซื้อมาให้น่ะ เป็นสิ่งสำคัญมากเลยค่ะ วันที่มีงานเลือกตั้งฉันก็ขอพรจากมัน วันก่อนจะจัดสเตจวันเกิดฉันก็ขอว่า “ขอให้ฉันมีความกล้า!” เหมือนเป็นตุ๊กตาโกโกริโกะเลยค่ะ

- ตุ๊กตาโกโกเปลี (Kokopelli) สินะครับ (หัวเราะ) เทพองค์หนึ่งของชาวอเมริกันพื้นเมือง

คุมะ: นั่นแหละค่ะ!

- คุมาซากิซังคิดยังไงกับการประกาศเป็นเซนเตอร์ของฟุรุฮาตะซังครับ?

คุมะ: ดีใจมากค่ะ! เราจะได้ทำให้ SKE48 ร้อนแรงไปด้วยกันใช่มั้ยล่ะคะ เพราะงั้น ถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบคู่แข่งที่ดีได้ก็คงจะดีมาก

นาโอะ: ฮุๆๆ

- ขอเปลี่ยนเรื่องหน่อยนะครับ ในไลฟ์ Mihama Kayuusai ไซโต้ มากิโกะซังพูดว่า “อยากให้เมมเบอร์ในตอนนี้ได้ไปนาโกย่าโดม” ได้ฟังแล้วคิดว่ายังไงบ้างครับ?

คุมะ: ฉันเองก็อยากไปค่ะ ก็ตอนนาโกย่าโดมครั้งที่แล้วยังเป็นเคงคิวเซย์อยู่เลย

นาโอะ: อืม สำหรับฉัน การตั้งเป้าหมายจะกลับไปยืนที่เดิมอีกครั้งมันดูสับสนน่ะค่ะ

- ตอนครบรอบ 8 ปี จูรินะซังบอกว่า “เพื่อที่จะเป็นวงไอดอลอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น” ถ้าได้ไปจัดคอนเสิร์ตในโดมทุกปี ก็น่าจะเรียกว่าเป็นวงไอดอลอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นได้นะครับ

นาโอะ: นั่นสินะคะ มากิโกะซังมีความกล้ามากๆเลยล่ะ ฉันรู้สึกว่ามันน่ากลัวที่จะพูดออกมาน่ะค่ะ แต่คำพูดของมากิโกะซังก็ทำให้ทุกคนดีใจกันมาก

- นั่นสินะ สำหรับเซนเตอร์เนี่ยคิดว่าคนที่ได้ยืนต้องเป็นคนแบบไหนครับ?

นาโอะ: เป็นคนที่มีความรู้สึกอยากจะเป็นเซนเตอร์ อยากจะยืนอยู่ตรงจุดนั้นอยู่ตลอดเวลาค่ะ แต่ว่าคำถามนี้น่ะคิดยังไงก็ไม่มีคำตอบหรอก

คุมะ: ใช่แล้วล่ะ! พอฉันทำตัวเป็นคาแรคเตอร์แบบโอตาคุ ก็มีคนพูดว่า “หลุดออกห่างจากเซนเตอร์ไปเรื่อยๆแล้วสินะ”

นาโอะ: โหดร้าย (หัวเราะ)

คุมะ: แต่ว่า ถ้ามีเซนเตอร์ที่ไม่ใช่ปกติธรรมดาก็ดีออกไม่ใช่เหรอคะ ฉันคิดว่าเซนเตอร์น่ะ เป็นที่ๆจะทำให้ตัวเราเปล่งประกายได้เพียงแค่ตั้งเป้าหมายที่ตรงนั้น ถึงตอนนี้จะไม่ได้เป็นเซนเตอร์ แต่ฉันคิดว่าขอแค่เรามีพลัง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนก็ดึงดูดสายตาคนได้ค่ะ

- สุดท้ายที่อยากจะถาม ตั้งแต่เมื่อกี้ที่คุมาซากิซังประกาศเป็นคู่แข่งกับฟุรุฮาตะซัง ฟุรุฮาตะซังดูจะเลี่ยงๆนะครับ
? จะรับคำท้าเป็นคู่แข่งนี้มั้ยครับ? หรือไม่รับ?

นาโอะ: อืมมมมม ขอผลัดไปก่อนค่ะ!

คุมะ: เอ๋!!!

นาโอะ: ก็เห็นบอกว่า “เรียวฮะเป็นคู่แข่ง” นี่!

คุมะ: เอ่อ นั่นสินะ (หัวเราะ) แต่ว่าในเมื่อรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้ว ฉันจะพยายามให้(นาโอะ)รับคำท้าในเร็ววันค่ะ (T/N: น้องหมีออกเสียงไม่ชัดอีกแล้ว)

- ขนาดท้ายสุดแล้วก็ยังพูดไม่ชัดนะครับ (หัวเราะ)



blogged by 91

[91][bsummary]

Translation

[Translation][bsummary]

Subtitle

[subtitle][bsummary]

Update

[SKEUpdate][bsummary]