วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

(91)[100%SKE48 Vol.2] แปลบทสัมภาษณ์มินารุน (โอบะ มินะ)

โอบะ มินะ ใช้ชีวิตอยู่ในนาโกย่าจากลบก็เปลี่ยนเป็นบวกได้





โอบะ มินะ ผู้ซึ่งได้เริ่มควบทีมเมื่อปี 2013 และย้ายวงมาเต็มตัวเมื่อปี 2014 และตอนนี้เธอก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ส่องสว่างเป็นประกาย ความรู้สึกต่อ SKE48 ที่ยอมรับและเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำในตอนนี้ เธอพูดออกมาเยอะเลย

ชินคันเซ็นในวันนั้น


- เอ่อ จะว่าไงดี ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ (หัวเราะ)

มินารุน: ฮ่าๆๆๆ ฝากตัวด้วยค่ะ

- เพราะเป็นโอกาสพิเศษเลยอยากให้โอบะซังเลือกสถานที่ถ่ายทำเป็นที่ๆชอบในนาโกย่า เราได้บอกผ่านทางสตาฟฟ์ไป อยากทราบว่าเหตุผลที่เลือกย่านการค้าโอสุนี่คืออะไรครับ?

มินารุน: ที่จริงแล้ว ปกติชีวิตฉันก็วนเวียนอยู่แถวซาคาเอะนี่แหละค่ะ ไม่ว่าอะไรก็มีหมด ขนาดไปถามเมมเบอร์ก็บอกประมาณว่า “(ในนาโกย่า) ก็ต้องซาคาเอะนี่แหละ (หัวเราะ)” ทั้งนั้นเลย แต่ว่าหลังจากมาอยู่ SKE48 ได้ประมาณปีนึงก็ได้รู้ว่ามีย่านการค้าโอสุอยู่ ฉันชอบความรู้สึกแบบท้องถิ่นสงบๆน่ะค่ะ ตอนแรกเป็นคาโอตันพามาทัวร์ขี่จักรยาน ฉันก็คิดว่าในย่านการค้าคงไม่ให้ขี่จักรยานเลยลงไปเดินจูงจักรยานแทน ปรากฎว่าคาโอตันดันขี่เข้าไปเฉย ฉันก็แบบว่า “คนเยอะนะเห้ย!” (หัวเราะ)

- เหมือนเวลาขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกแล้วดันถอดรองเท้าก่อนขึ้นเครื่องสินะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าสุดยอดไปเลยนะ เสร็จงานก็ตรงกลับบ้าน ไปขี่จักรยานเล่นกับเพื่อนๆ พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยจะมีแบบนี้เท่าไหร่ ทั่วไปก็น่าจะช่วงประถมล่ะมั้ง

มินารุน: นั่นสิคะ! บางทีตอนนี้น่าจะได้ใช้จักรยานมากกว่าตอนประถมอีก ตอนอยู่ AKB เมมเบอร์ไม่มีอยู่ใกล้กันอย่างนี้

- หลังจากจบสเตจที่อากิฮาบาระ มีขี่จักรยานเที่ยวกับเมมเบอร์แบบนี้มั่งมั้ยครับ?

มินารุน: ไม่มีค่ะ! ...ถึงตอนนี้จะชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว แต่มาคิดดูดีๆมันไม่ใช่ปกติเลยนะ (หัวเราะ)

- ในมุมมองของคนนอก การที่ได้มาใช้ชีวิตแบบนี้ในนาโกย่า พวกเรารู้สึกสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของโอบะซังมากเลยครับ แต่ยังไงก็เป็นเมืองที่อยู่ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยครับ นาโกย่าเนี่ย

มินารุน: ปีแรกที่เริ่มต้น (ควบทีม) ไม่ว่างานจะจบเร็วหรือช้าฉันก็จะตรงกลับโตเกียวตลอดเลยค่ะ หรือบางทีค้างคืนนึงวันรุ่งขึ้นก็จะนั่งชินคันเซ็นกลับเลย แม้ตอนนี้จะพูดถึงได้อย่างสบายใจแล้วแต่ตอนนั้นมันลำบากจริงค่ะ ตอนที่ถูกเลือกให้มาควบ SKE48 พอมานาโกย่าเพื่อทักทายทำความรู้จัก วันรุ่งขึ้นก็ให้ถ่าย MV Ustukushii Inazuma เลย ความรู้สึกไม่สบายใจตอนที่นั่งชิงคันเซ็นมานาโกย่าในตอนนั้นยังจำได้ดีเลยค่ะ ไม่มีวันลืมเลยล่ะ

- ทำไมถึงปิดกั้นตัวเองแบบนั้นล่ะครับ?

มินารุน: แน่นอนว่าการควบทีมมันมีแรงกดดันค่ะ แล้วก็เพราะรู้ว่าคิตาฮาร่า(ริเอะ)ซังที่เคยมาควบทีมก่อนลำบากมากๆ อีกอย่างฉันได้รับคำชี้แนะมาว่า “SKE48 น่ะเด็กผอมๆเยอะนะ ลดน้ำหนักซะเถอะ ทางที่ดีย้อมผมดำจะดีกว่านะ” อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) เพราะงั้นตอนที่นั่งชินคันเซ็นมาเลยตื่นเต้นมาก รู้สึกแบบว่า “ต่อจากนี้จะต้องไปอยู่นาโกย่าสินะ”

- เหมือนตั๋วเที่ยวเดียวไปสู่สมรภูมิรบเลยนะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าจากสภาพในตอนนั้นจนเป็นที่ยอมรับแบบวันนี้สุดยอดเลยนะครับ ว่าแต่ เดิมโอบะซังก่อนมาเข้า AKB48 ก็ได้ใช้ชีวิตเด็กมัธยมธรรมดามาเต็มที่เลยนี่ครับ

มินารุน: ใช่ค่ะ (หัวเราะ)

- งั้น ทำไมถึงมาเป็นไอดอลล่ะ?

มินารุน: อาจเป็นเพราะ...ที่ตรงนี้มันเหมือนเป็นอีกมิตินึงน่ะค่ะ แม้ว่าวันๆนึงจะสนุกมาก แต่ช่วงเทอมสองของม.ปลายปี 2 ก็ต้องเลือกทางเดินชีวิต แต่ฉันก็คิดตลอดเลยว่า “ฉันอยากเป็นไอดอล! อยากเข้าสู่วงการบันเทิง!” แม้จะใช้ชีวิตปกติธรรมดาแบบนั้น แต่ยังไงความฝันก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพราะงั้นก็เลยอยากมาเป็นไอดอล ได้ใช้ชีวิตธรรมดามาเต็มที่แล้วความฝันยังเป็นจริงด้วย เป็นอะไรที่มีความสุขสุดๆเลยใช่มั้ยล่ะคะ

- ประมาณว่า ได้สนุกทั้งสองทาง

มินารุน: ค่ะ (หัวเราะ) ฉันน่ะอยากมุ่งไปในทางที่มันสนุกๆ อยากเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด! อยากให้ความฝันทั้งหมดเป็นจริงค่ะ

- อะฮ่าๆๆๆ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจริงๆนะครับ เพราะเป็นแบบนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่แค่ไหนก็ผ่านมันมาได้เองโดยธรรมชาติสินะครับ

มินารุน: มองย้อนกลับไป 7 ปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่ต้องขอบคุณคือโอกาสที่ได้รับมาค่ะ ไม่นานมานี้ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะฉันไม่ละทิ้งเรื่องสีเทาๆในอดีต ตอนนี้ก็เลยสามารถยืดอกอย่างภูมิใจได้ อันที่จริง การได้มา SKE48 ทำให้จิตใจฉันเปลี่ยนไปนะ ในฐานะคนธรรมดาคนนึงฉันค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆน่ะค่ะ

- โอบะซังในตอนนี้ ไม่ว่าจะในฐานะคนธรรมดาหรือในฐานะไอดอล ดูเหมือนว่าจะมาถึงช่วงที่รุ่งแล้วนะครับ จริงๆนะ

มินารุน: ขอบคุณค่ะ ตอนที่อยู่ AKB48 ก็เคยผ่านช่วงพีคมาเหมือนกัน ก็รู้สึกได้ว่ามันกลับมาดีอีกครั้ง (หัวเราะ) ตอนที่ประกาศควบทีมที่บุโดกัน (คอนเสิร์ต AKB48 Group Rinji Soukai เดือน 4 ปี 2013) ก่อนหน้านั้นฉันยังคิดอยู่เลยว่า “ฉันน่ะ คงจะไปเรื่อยๆแบบนี้ล่ะมั้ง” ตำแหน่งยืนก็คงค่อยๆตกมาข้างหลัง ก็คงเท่านี้ล่ะมั้ง ในขณะที่เริ่มรู้สึกแบบนั้นก็ประกาศควบทีม เพราะงั้นถือว่าเป็นโอกาสที่ดีค่ะ

- ในสภาพแบบนั้น คงคิดไม่ถึงว่าจะได้ควบทีมสินะครับ

มินารุน: เรื่องนั้นก็เคยคิดเหมือนกันนะ แบบว่า “บางทีอาจจะได้ควบก็ได้” จริงๆก็อยากลองควบวงมาตลอด บ้าจริงๆเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ

พวกสุดโต่งน่ะแค่คนเดียวก็พอ


- อ่า นี่อาจจะเป็นภาพที่เราคิดเอาเองนะครับ แต่ว่าโอบะซังดูเป็นคนที่เย็นชา ชอบพูดเสียดสี ไม่ใช่คนที่จะพยายามรุกไปข้างหน้าเลย (หัวเราะ)

มินารุน: คงเริ่มเป็นตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่แล้วน่ะค่ะ มันมีช่วงที่ฉันคิดว่าทำแบบนั้นแล้วมันเท่ (หัวเราะ) แต่ว่าก็ไม่ใช่เพราะย้ายมา SKE48 ถึงได้เปลี่ยนไปหมดนะคะ แค่เริ่มรู้สึกว่าแบบนั้นมันไม่ได้เท่ซักหน่อย ตอนนั้นยังเด็กจริงๆ (หัวเราะ)

- เพราะยังเด็กสินะ (หัวเราะ) โอบะซังที่เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในเมมเบอร์ที่เป็นเสาหลัก เป็นผู้นำของ SKE48 นะครับ

มินารุน: ฮุๆๆๆ ไม่ห่าง(จากเสาหลัก)เท่าไหร่หรอกค่ะ

- จากตรงนี้ มองเห็นอะไรที่ SKE48 ในตอนนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมั่งมั้ยครับ?

มินารุน: อืม เรื่องนี้ ปีสองปีมานี้ก็ได้คุยกับหลายๆคน เมมเบอร์ก็เคยมีพูดใน SHOWROOM เหมือนกัน มีหลายเรื่องเลยค่ะ

- อย่างพวกรายการประจำทางทีวี หรือทัวร์คอนเสิร์ต

มินารุน: แต่ว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราพูดแล้วจะทำได้เลย อย่างเช่นว่า “HKT48 ได้ทัวร์อยู่แหละ!” พูดไปมันก็ไม่มีวันจบ เพราะงั้นสิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือ คิดว่าทำยังไงการแสดงในเธียเตอร์ตอนนี้ถึงจะสนุกแล้วก็ลงมือทำ คือถ้าช่วงไหนพวกเราร้อนใจกันเกินไป แล้วไปพูดว่าแย่แล้วๆพูดนั่นพูดนี่ ยิ่งพูดไปถึงหูแฟนๆ มันจะกลายเป็นว่าทุกคนบอกแย่แล้วๆกันหมด แบบนั้นเป็นความผิดพวกเราทั้งหมดเลยนะ!

- เหมือนที่ในรายการ Zero Position พูดด้วยสายตาดุดันเหมือนนักรบว่า “ประกาศแยกตัว!” (หัวเราะ) เป็นพวกสุดโต่งที่แท้เลยนะครับ!
[T/N: ช่วงปี 2016 ที่ SKE ไม่มีรายการประจำ ออกสื่อก็น้อย ครั้งนึงรายการ Zero Position ได้จัดให้เมมเบอร์มาคุยกัน แล้วมินารุน คาโอตันและอายะก็คุยกันว่าอยากให้ SKE แยกตัวออกจากกรุ๊ป]

มินารุน: จริงๆนะคะ! ทั้งๆที่พวกสุดโต่งน่ะมีแค่คาโอตันคนเดียวก็พอแล้ว แต่ฉันก็โดดเข้าไปร่วมด้วย ประมาณ 1 ปีมานี้เป็น(พวกสุดโต่ง)ตลอดเลยค่ะ ถึงขั้นว่ามีช่วงที่เมมเบอร์ครึ่งนึงมาเป็นแนวร่วมด้วยเหมือนกัน แบบนั้นมันแย่มากเลยล่ะ ในที่สุดก็ตาสว่าง...

- ถ้าเป็นมัตสึมุระซังล่ะก็แบบนั้นคงไม่เป็นไร แต่ถ้าทุกคนเป็นกลายเป็นผู้ก่อการร้ายแบบนั้นล่ะก็ ประเทศคงแย่นะครับ (หัวเราะ)

มินารุน: แม้ฉันทำงานในฐานะเซมบัตสึมาตลอดก็พูดอะไรมากไม่ได้ ยิ่ง (ไซโต้) มากิโกะเป็นกัปตันด้วยแล้ว จะพูดอะไรตามใจไม่ได้เด็ดขาด ทางฝั่งแฟนๆก็เหมือนกัน ถ้าเมมเบอร์มัวแต่คิดแบบนี้แล้วทำให้บรรยากาศแปลกๆไป ดูแล้วคงรู้สึกแย่ เพราะงั้นฉันว่าแรกสุดคือ ต้องพยายามกับสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้เกินขีดจำกัดของมัน จะทำยังไงให้สนุกแม้กับเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน เมมเบอร์เองนั่นแหละต้องสนุกก่อน ถ้าแม้แต่เมมเบอร์เด็กๆก็ถูกถามว่า “นี่มันวิกฤติสินะ?” ฉันว่านั่นแหละ “วิกฤติแล้ว”

- (เรื่องที่คุย)เริ่มหนักขึ้นๆแล้วสิ

มินารุน: เพราะงั้นสนุกกับมันโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น! บางทีเมมเบอร์โตแล้วอาจจะคิดว่า “ถึงตอนนี้แล้วยังจะพูดเรื่องพวกนี้อีก” ก็ได้ ไม่ว่าจะจบการศึกษาหรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่อันดับแรกคืออยากให้ทำไปด้วยความรู้สึกสนุก สิ่งที่ฉันอยากขอตอนนี้คือ อยากให้ความรู้สึกนี้ส่งไปถึงแฟนๆด้วย อยากให้เรามุ่งไปในทางที่ดี ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไรฉันก็จะใช้ชีวิตให้สนุก ตัดสินใจแล้วล่ะ!

- การตัดสินใจนี้ ทำให้ประกาศว่า “งานเลือกตั้งปีหน้าก็จะพุ่งไปข้างหน้า” หรือเปล่าครับ?

มินารุน: อ่า เรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ค่ะ แต่ว่าก็มีสตาฟฟ์เคยถามเหมือนกันประมาณว่า “กำลังคิดจะจบการศึกษาเหรอ?” พอบอกความรู้สึกจริงๆไป (สตาฟฟ์)ก็แบบว่า “เอ๊ะ? งั้นหรอกเหรอ?”

- แบบว่า “ยังไม่คิดหรอกเหรอ?” (หัวเราะ)

มินารุน: ใช่เลยค่ะ! เพราะงั้นฉันเลยถามกลับว่า “เอ๊ะ? ไม่ได้เหรอ?” (หัวเราะ)

- บางทีคนรอบข้างอาจจะสังเหตเห็นอะไรบางอย่างก็ได้นะครับ แบบว่า “ต้องช่วยคิดเรื่องเส้นทางต่อไปของโอบะแล้วล่ะ”

มินารุน: แม้ว่าเมมเบอร์ที่อายุขึ้น 20 แล้วจะได้เป็นเซมบัตสึมาก่อน แต่พวกเราเองก็ยังพยายามอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) ในงานจับมือก็มีคิดพลิกแพลงนู่นนี่ทำให้ทุกคนสนุก เพราะงั้นเวลาถามอะไรมา ก็จะรู้สึกแบบว่า “อ้าว ยังไม่ได้คิดเลยเหรอ?” (หัวเราะ) อีกอย่าง ฉันอุตส่าห์กลับมาได้ถึงจุดนี้แล้วทั้งทีนี่

- พูดถึงอันดับเลือกตั้ง ปีนี้ได้อันดับ 22 ก็เป็นอันดับที่สูงที่สุดของตัวเองด้วยสินะครับ ทุกปีก่อนเลือกตั้งเราจะมีคุยกับพวกแฟนๆ กับพวกคนที่เกี่ยวข้อง ทายผลอันดับกัน ปีนี้มีหลายเสียงเลยที่บอกว่า “โอบะอาจจะเข้าถึงเซมบัตสึ” ระดับเดียวกับมุไคจิ มี่อง ทาคาฮาชิ จูริ อะไรแบบนี้เลยล่ะ

มินารุน: ฮ่าๆๆๆ ตามปกติคงไม่มีทางหรอกค่ะ (หัวเราะ) จะว่าไงดี มาจนถึงตอนนี้ฉันก็ทำเพื่อตัวเองมาตลอด เป็นตัวฉันเองที่อยากให้มีผลลัพธ์อะไรออกมาบ้าง แต่ถึงอันดับจะตกลงแค่ไหน ตราบใดที่พยายามทำและสนุกไปกับมันก็จะมาถึงจุดนี้ได้ ฉันอยากให้รุ่นน้องได้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้มากกว่า ดังนั้นปีหน้าฉันก็คิดว่าจะลงเลือกตั้งด้วย

- เป็นเพราะความคิดเปลี่ยนไป ถึงได้กลับคำ เรื่องที่เคยบอกว่า “ปีนี้เป็นทีสุดท้ายที่จะลงเลือกตั้ง” ใช่มั้ยครับ?

มินารุน: เป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันทุ่มให้ SKE48 เพราะงั้นไม่ว่าจะคำพูดหรือความคิดยังไงก็ไม่มีโกหกค่ะ ฉันเชื่อว่าเรื่องที่ติดลบมันจะเปลี่ยนเป็นพลังบวก เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องปิดบังค่ะ

- จิตใจแกร่งอย่างกับพวกปรมาจารย์หมัดมวยเลยครับ (หัวเราะ) แบบท่วงท่าการเคลื่อนที่สอดประสาน

มินารุน: สนุกดีค่ะ! เพราะแบบนั้นมันถึงสนุกไง SKE48 เนี่ย

ตอนสุดท้ายน่ะตัดสินใจไว้แล้ว


- แม้จะเพิ่งบอกเอาตอนนี้ แต่คือ หัวข้อของ 100%SKE48 เล่มนี้เป็น “ความกล้า” ครับ มากิโกะซังซึ่งใกล้ชิดกับโอบะซังก็พูดใน Mihama Kaiyuusai ว่า “อยากกลับไปยืนที่นาโกย่าโดมอีกครั้ง” พวกเรารู้สึกได้ถึงความกล้าที่พุ่งออกมาเลยล่ะ

มินารุน: นั่นสินะคะ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราพูดไม่ออกนี่นา

- มันเป็นเพราะอะไรครับ?

มินารุน: ...เพราะเป็นบทสัมภาษณ์ของเล่มนี้ ฉันก็อยากพูด(แบบนั้น)เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าอยากจะเห็นภาพวิวนั้นอีกครั้ง หากไม่สร้างปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น คิดว่าคงเป็นไปได้ยากค่ะ ทัวร์ก็เลื่อนออกไปไม่ได้จัดต่อ หลายๆเรื่องที่สัญญาไว้แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำ เอาแต่พูดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เราอาจจะกลายเป็นวงที่ถูกมองว่าชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้นค่ะ แต่เพราะอย่างนั้นตอนนี้เราถึงยิ่งต้องมีเป้าหมาย มาคิดดูดีๆ ไลฟ์ของ SKE48 น่ะดีมากจริงๆนะ ฉันน่ะ มั่นใจในการแสดงคอนเสิร์ตของ SKE48 ที่สุด คุณภาพของสเตจก็ดีที่สุดของ 48 กรุ๊ปอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะมีคนพูดโจมตีวงเรา แต่สำหรับ performance น่ะเป็นเรื่องของร่างกายแต่ละคน

- ถ้าวัดแพ้ชนะในเรื่องนี้ล่ะก็ ไม่มีเหตุให้แพ้ได้เลย

มินารุน: ไม่มีอะไรด้อยกว่าเลยล่ะ ถ้าพูดให้ชัดก็คือ เป็นวงที่ไปต่อได้ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถึงเวลาวิกฤติก็มีความรู้สึกแบบ “มาทำให้เต็มที่กันเถอะ” ประมาณนั้นล่ะมั้งคะ เป็นระดับที่เรียกว่ายอดเยี่ยมเลยแหละ ไม่ว่ายังไง สำหรับ (การแสดง) บนเวที การจะทำยังไงให้มันออกมาสุดยอดได้ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญค่ะ

- ในอีกคอลัมน์นึงของเล่มนี้ พวกเราได้สัมภาษณ์เหล่าเทรนเนอร์ด้วย ได้ยินว่าเมมเบอร์ AKB48 จะพยายามซ่อนผ้าพันแผลไว้ด้านในของรองเท้าบูทเพื่อคงความน่ารักตามแบบไอดอลเอาไว้ แต่ว่าเมมเบอร์ SKE48 จะคิดถึงเรื่องว่าผ้าพันแผลเป็นอุปสรรคในการเต้นหรือเปล่าก่อน

มินารุน: ใช่แล้วค่ะ! ก่อนหน้านี้ ระหว่างแสดงสเตจอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนไหล่หลุด ปวดมากเลยค่ะ พอกลับเข้าหลังเวทีทุกคนก็ถามว่า “เอาไงดี?” ตอนนั้นแม้แต่ยกแขนก็ยกไม่ขึ้น เต้นไม่ได้แน่ๆ ก่อนอื่นเลยให้ลองพันผ้าไว้ก่อน

- “ก่อนอื่น” เนี่ยนะ (หัวเราะ)

มินารุน: ก่อนอื่นก็จะพันผ้าไว้ แล้วก็แสดงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (หัวเราะ) ก็พูดไปประมาณว่า “ไม่เป็นไร พันไว้ก่อน!” ถ้าเป็นสมัยที่อยู่ AKB48 อาจจะไม่ออกมาแสดงแล้วก็ได้ แต่ SKE48 น่ะ เราทำด้วยความรู้สึกแบบนี้จริงๆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นพลังของพวกเรา เพื่อให้ SKE48 ทั้งวงได้เล่นเคอนเสิร์ตในอารีน่าหลายๆที่พร้อมๆกับการออกทัวร์ทั่วประเทศ แล้วก็กลับไปยืนที่นาโกย่าโดมอีกครั้ง ฉันว่านี่คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของ SKE48 ในตอนนี้ค่ะ

- แฟนๆเองก็คงเดินไปพร้อมกับพวกคุณด้วยอยู่แล้วล่ะ สุดท้ายนี้ สำหรับตัวโอบะซังเอง มีอะไรที่อยากจะใช้ความกล้าทำมันออกมาบ้างมั้ยครับ?

มินารุน: ฉันชอบพูดอยู่บ่อยๆค่ะ คือในท้ายที่สุดฉันอยากจะเป็นที่จดจำในฐานะเมมเบอร์ SKE48 เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว อยากให้เขียนว่า “โอบะ มินะ (อดีต SKE48)” เพื่อการนั้น ฉันจะไปออดิทชั่นงานนอกให้เยอะขึ้น ถ้าได้งาน ก็อาจจะดึงเมมเบอร์คนอื่นๆใน SKE48 มาร่วมด้วยได้ ฉันคิดตลอดเลยล่ะว่าตัวเองคงจะพอทำอะไรได้บ้าง และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากทำให้สำเร็จค่ะ แม้ว่าจะอยู่มาเป็นปีที่ 8 แล้ว แต่ก็ยังมีความท้าทายใหม่ๆรอฉันอยู่! ยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะในสเตจหรืองานจับมือ แม้จะต้องรอให้งานเข้ามา การได้ทำงานไปตามจังหวะของมันเป็นสภาพแวดล้อมที่มีความสุขมากค่ะ

- แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องเคยชินไปซะแล้ว

มินารุน: แต่แทนที่จะระวังไม่ให้เคยชินจนเกินไป ฉันกลับคิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในสภาพแวดล้อมแบบนี้มากกว่า เพราะงั้นฉันเลยอยากแสดงให้เห็นว่าฉันน่ะเริ่มเปลี่ยนความคิดตัวเองและก้าวออกมานำคนอื่นหนึ่งก้าว ทั้งนี้ก็เพื่อ SKE48 และอาจจะเพื่อตัวของโอบะ มินะเองด้วย ดังนั้นระหว่างที่ยังอยู่ SKE48 นี้...ก็จะเปลี่ยนส่วนที่เป็นด้านลบให้เป็นด้านบวกด้วยความกล้าค่ะ

- ด้านลบนั้นคือ?

มินารุน: ก็เรื่องกลัวคนแปลกหน้า...อย่างถ้าเวลาออดิทชั่นแล้วไม่กล้ากับคนแปลกหน้า แบบนั้นแย่มากเลยไม่ใช่เหรอคะ!

- คุยกันมาถึงตรงนี้ เป้าหมายของโอบะ มินะนี่มันโคตรซิมเปิ้ลเลยนะครับ (หัวเราะ)  การเอาชนะความกลัวคนแปลกหน้าเนี่ย!

มินารุน: ก่อนอื่นเริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ...อ้าว จบ (การสัมภาษณ์) แล้วเหรอคะ? ยังพูดไม่จบเลยวันหลังต้องเรียกมาอีกนะคะ!

- ไม่เห็นจะกลัวคนแปลกหน้าตรงไหนเลย (หัวเราะ) แล้วจะมารบกวนอีกครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

blogged by 91

[91][bsummary]

Translation

[Translation][bsummary]

Subtitle

[subtitle][bsummary]

Update

[SKEUpdate][bsummary]