วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

(91)[100%SKE48] แปลบทสัมภาษณ์ชูริ (ทาคายานางิ อากาเนะ)

“ออกมาจากวิกฤติแล้ว”
แม้ว่าเมมเบอร์หลายคนจะบอกอย่างนั้น
แต่ทาคายานางิ อากาเนะนั้น “ยังไม่พอใจ”
ทั้งเคยได้รับความสำเร็จอันรุ่งเรือง ทั้งเคยตกลงไปในบ่อโคลนอันมืดมิด
เพราะอย่างนั้นจึงรู้สึกได้ถึงวิกฤติ
ความเชื่อมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอนซึ่งร้อนแรงอยู่ในอก ทำให้เธอก้าวต่อไปข้างหน้า

ชีวิตใน SKE48 ตลอด 7 ปี คำตอบเพียงหนึ่งเดียวนี้ที่ได้รับ
ก็คือ “ร้อนแรงสุดกำลัง” เท่านั้น

การลงเลือกตั้งที่คิดอย่างหนัก

- 100%SKE48 ฉบับพิเศษคราวนี้ มีเรื่องหลักที่จะถามอยู่ 2 เรื่อง ก่อนอื่นเรามาเริ่มที่เรื่องเลือกตั้งกันก่อนนะครับ

ชูริ: ทำไมพอถึงเวลาเลือกตั้งทีไร BUBKA ซังจะต้องเชิญมาสัมภาษณ์ทุกทีเลยนะคะ (หัวเราะ)

- มันเป็นธรรมเนียมไปแล้วครับ (หัวเราะ) เชิญเริ่มจากเหตุผลที่ลงเลือกตั้งก่อนเลยครับ

ชูริ: ปีที่แล้วได้อันดับที่ 14 มา ได้เข้าร่วมกิจกรรมในฐานะเซมบัตสึของ AKB48 ได้ไปออกรายการ Music station แล้วก็ “ทีวี 24 ชม.” แฟนๆต่างก็ดีใจกันมากเพราะเรื่องพวกนี้ เป็นหน้าร้อนในชีวิต 48 ที่ไม่มีวันลืมเลย สนุกมากจริงๆค่ะ แต่หลังจากนั้น ก็มีเรื่องหลายๆอย่างที่น่าเจ็บใจ เพราะงั้น ถ้าอยากให้แฟนๆมีความสุขร่วมกันอีกครั้ง ก็คงมีแค่ต้องพยายามไปด้วยกันในงานเลือกตั้งล่ะค่ะ

- เรื่องนี้เข้าใจได้ครับ

ชูริ: แต่ว่า ก็ยังลังเลเหมือนกันว่าจะลงดีมั้ย นั่นเป็นเพราะถึงจะได้อันดับที่ 14 มา แต่ตำแหน่งของฉันในเซมบัตสึ SKE48 ก็ยังไม่ได้ตามที่หวังไว้ จะว่าได้ทำงานในฐานะ SKE48 เต็มที่แล้วก็พูดได้ไม่เต็มปาก ปีที่แล้วฉันคิดว่า “จะต้องทำให้ทุกคนรับรู้ถึง SKE48 ทาคายานางิ อากาเนะอีกครั้งให้ได้” “อยากทำงานหลายๆอย่างให้มากขึ้น” ก็เลยลงเลือกตั้ง แต่ว่าเป้าหมายพวกนั้นยังไม่สำเร็จทั้งหมด นี่เป็นสาเหตุที่ฉันคิดหนักเรื่องลงเลือกตั้งน่ะค่ะ

- นี่คงเป็นสิ่งที่คุณหนักใจสินะครับ พูดกันตามตรง พอรู้ว่าทาคายานางิซังจะลงเลือกตั้ง ผมก็คิด “ชูริมาแล้ว!” ก็ปีที่แล้วน่ะ รู้สึกเหมือนว่าคุณคงจะไม่ลงอีกแล้ว

ชูริ: มีคนพูดอย่างนี้เยอะค่ะ “ปีที่แล้วเธอบอกว่าจะเป็นปีสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ!” แต่ว่าตัวฉันเองยังไม่เคยพูดว่า “สุดท้าย” เลย ตอนที่ลงเลือกตั้งปีที่แล้วก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่แค่ว่า ถ้าปีที่แล้วติดเซมบัตสึแล้วมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นครั้งใหญ่ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นปีสุดท้ายก็ได้

- ถ้างานในฐานะ SKE48 เพิ่มมากขึ้น และมองเห็นลู่ทางใหม่ๆของเห็นตัวเองแล้ว..

ชูริ: ใช่ค่ะ ถ้ามีงานดี่ยวเพิ่มมากขึ้น เลือกทางที่จะเดินไปข้างหน้าได้แล้ว ตำแหน่งใน SKE48 ชัดเจนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าปีที่แล้วอาจจะเป็นปีสุดท้ายค่ะ

- วันก่อน ตอนที่คุณจัดรายการประจำของคุณ “Umarete kono kata” กับมัตสึอิ เรนะซัง ก็มีพูดถึงเรื่องเลือกตั้งด้วยนี่ครับ

ชูริ: จริงๆไม่ได้เตรียมพูดเรื่องเลือกตั้งเลยค่ะ ตอนช่วงที่อัดรายการเป็นช่วงที่เปิดรับสมัครลงเลือกตั้งพอดี ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ตัดสินใจลง แต่หัวข้อที่สตาฟฟ์ซังให้มา มันมีหัวข้อ “ปรึกษาปัญหาหนักใจของชูริ”ด้วย ทีแรกฉันกะว่าจะคุยเรื่องเลือกตั้งกันส่วนตัว ไม่คิดว่าจะพูดออกไปในรายการซะได้ (หัวเราะ) เรนะซังบอกฉันว่า “เลือกตั้งจะเป็นยังไง มันก็คืองานเลือกตั้งล่ะนะ” คำพูดนี้ช่วยฉันเอาไว้ค่ะ

- แค่เรื่องลงหรือไม่ลง คุณยังกังวลไปถึงขั้นนั้นเลย

ชูริ: ตั้งแต่มีระบบให้ลงสมัครเลือกตั้ง มันก็ไม่เหมือนเดิมค่ะ ถ้าไม่ลงก็จะถูกถามว่า “ทำไมถึงไม่ลงล่ะ?” ถ้าลง ก็จะถูกถามว่า “ทำไมถึงลงล่ะ?” ทั้งๆที่คิดหนักอยู่นานกว่าจะตัดสินใจลงสมัคร แต่กลับมาบอกว่า “คงจะเปิดทางให้รุ่นน้องได้แล้วมั้ง” แน่นอนว่าคนที่พูดอย่างนี้มีไม่เยอะ ฉันคิดว่าทำแบบนั้นมันใจดีเกินไป ชิโนดะ มาริโกะซังก็เคยพูดไว้ว่า“เมมเบอร์ที่ไม่สามารถขึ้นไปได้ด้วยตัวเองนอกจากจะมีคนเปิดทางให้น่ะ ไม่มีทางชนะใน AKB48 ได้หรอก” ฉันไม่ยอมอ่อนข้อให้หรอก...อีกอย่าง ในเซมบัตสึ SKE48 ก็ยังอยู่หลังรุ่นน้องเลย เพราะงั้นฉันเลยคิดว่า “ในเมื่อฉันอยู่หลังในเซมบัตสึ อย่างน้อยในงานเลือกตั้งฉันจะอยู่ข้างหน้า!”

- นั่นสินะครับ!

ชูริ: ที่ผ่านมาฉันลงเลือกตั้งตลอด แม้ว่าตอนเลือกตั้งครั้งแรกจูรินะซังกับเรนะซังจาก SKE48 จะไม่ติดอันดับ แต่พอได้เห็นรุ่นพี่ 2 คนจากวงที่ตัวเองอยู่ติดอันดับได้อย่างงดงามแล้ว ฉันก็รู้สึกว่า “ฉันอยากขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีนั้นเหมือนกัน!” มากๆเลยค่ะ ดังนั้น ฉันก็อยากให้พวกรุ่นน้องมองฉันที่ยืนอยู่บนนั้น แล้วคิดว่า “ฉันอยากก็ติดอันดับเหมือนกัน!” บ้างน่ะค่ะ

ฉันมีเพียงตอนนี้

- เข้าใจแล้วครับ พูดถึงความพิเศษของงานเลือกตั้งปีนี้ ก็เป็นเรื่องเมมเบอร์ SKE48 ที่ถอนตัวไปทีละคน โดยเฉพาะเมมเบอร์ที่สนิทกับทาคายานางิซัง แล้วยังมีคนที่ได้อันดับดีในปีที่แล้วอีก

ชูริ: อย่าง (อิชิดะ) อันนะจากรุ่น 2 กับ (โอยะ) มาซานะซังรุ่น1ก็ตัดสินใจไม่ลง พวกเขาก็ต่างมีเหตุผลของตัวเอง เพราะงั้นฉันจะไม่พูดถึงมาก การเลือกที่จะไม่ลง อันที่จริงต้องมีความกล้ามากๆค่ะ ในช่วงที่รับสมัครน่ะแค่ความคิดในตอนเช้ากับตอนเย็นก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางทีอาจจะเปลี่ยนไปทุกชม.เลยก็ได้

- ลง ไม่ลง ลง ไม่ลง...สินะ

ชูริ: ค่ะ พอตกเย็นก็เกิดกลัวขึ้นมา มีเวลาให้คิดมากมาย ได้ดูเสียงตอบรับของแฟนๆจากบล็อกและทวิตเตอร์ด้วย แน่นอนว่าก็กลัวที่จะเผชิญหน้ากับผลสุดท้ายเหมือนกัน แต่ฉันสัญญากับแฟนๆไว้แล้ว ยังไงก็จะไม่ร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็จะไม่ร้องไห้

- ที่เอ่ยถึงเมื่อกี้ มาซานะซังไม่ลงในปีนี้ ตอนที่รู้ข่าว คุณใช้คำว่า “ช็อค” นั่นเป็นเพราะว่ารู้สึกเหงาหรือเปล่าครับ?

ชูริ: ค่ะ ถึงจะไม่เคยไปบอกกับเจ้าตัวแต่ฉันกับมาซานะซังน่ะตั้งเป้าหมายที่เซมบัตสึเหมือนกันค่ะ ตั้งแต่ “namida no seesaw game” (เพลง undergirls ปี 2010) เป็นต้นมา พวกเราติด undergirls ด้วยกันตลอด ถ้ามาซานะซังอยู่ก็จะรู้สึกเบาใจล่ะ

- พูดตรงๆเลยนะครับ เป้าหมายปีนี้คืออะไรครับ?

ชูริ: สำหรับเรื่องนี้ ฉันยังกังวลอยู่เลยว่าจะพูดออกไปชัดๆดีมั้ย ฉันอยากจัดงานมีทติ้งกับแฟนๆค่ะ

- ทำไมล่ะครับ?

ชูริ: อยากคุยกับแฟนๆโดยตรงนานๆ แค่ในบล็อก มันยากที่จะส่งความรู้สึกไปให้ถึง พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่ฉันเขียนฉันรู้สึกยังไง อาจมีคนมองว่า “ก็มีงานจับมืออยู่แล้วนี่” แต่ฉันคิดว่าเวลาแค่ไม่กี่วินาทีนั่นพูดไม่หมดหรอก!

- เรื่องนี้ผมเข้าใจครับ

ชูริ: ฉันอยากฟังเสียงของแฟนๆด้วย อยากจะพูดตรงๆกับพวกเขา ถ้าแบบนั้นทำให้ความรู้สึกของแฟนๆเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็คงดี เวลาที่ฉันจะเป็นไอดอลต่อไปเหลือไม่มากแล้ว ในระหว่างที่ยังเป็นไอดอลอยู่ ฉันก็อยากให้พวกเขาชอบฉันจนถึงที่สุด เพราะว่าฉันมีแค่ตอนนี้เท่านั้น แต่ว่าพอพูดปุ๊บก็ดูเหมือนว่าฉันตัดสินใจจบการศึกษาแล้ว วางใจได้ค่ะ ฉันยังไม่จบการศึกษาหรอก (หัวเราะ) แต่ก็คิดอะไรหลายๆอย่างอยู่ สิ่งที่ถูกต้องคืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรถูกเลยก็ได้


สถานะของทาคายานางิ อากาเนะในตอนนี้

- ขอเข้าเรื่องต่อไปเลยนะครับ แต่ว่าเมื่อกี้ก็มีพูดถึงแล้วล่ะ เพราะงั้นมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่แล้วด้วย

ชูริ: คือเรื่อง "SKE48 ต่อจากนี้" ใช่มั้ยคะ?

- ก็รวมถึงเรื่องนี้ด้วย แต่ที่อยากจะถามคือ ทาคายานางิซังคิดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่มี “สถานะ” แบบไหนใน SKE48 ครับ

ชูริ: เรื่องนี้นี่เอง ฉันเองก็อยากให้มันชัดเจนเหมือนกันค่ะ

- ถ้างั้นก็ดีมากเลยครับ ทาคายานางิซังน่ะ เคยเป็นลีดเดอร์ทีม KII มาตลอด ตอนชัฟเฟิลครั้งใหญ่ก็ออกจากตำแหน่ง ตอนนี้ไม่ได้เป็นรองลีดเดอร์แล้วก็ไม่ได้เป็นกัปตันของวงด้วย

ชูริ: มันก็เป็นอย่างนี้มา 2 ปีแล้วค่ะ

- นั่นสินะครับ คุณคิดว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนครับ?

ชูริ: ถ้าตามความเห็นของฉันเองนะคะ SKE48 น่ะ นอกจากเซ็นเตอร์ที่เป็นจูรินะซังแล้ว คนอื่นๆไม่มีตำแหน่งที่แน่นอนค่ะ พวกเมมเบอร์นอกเหนือจากเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกวางตัวไว้ก็ด้วยเหมือนกัน แต่ AKB48 น่ะต่างออกไปมาก อย่างเช่นโคจิฮารุซังก็เป็นางแบบ พารูรุซังก็เป็นนักแสดง วาตานาเบ้ มายุซังเป็นหน้าเป็นตาของ AKB48 มี่องจังก็เป็นเซ็นเตอร์ยุคใหม่ ถ้าเป็น AKB48 ละก็ ทุกคนมีงานที่ชัดเจนค่ะ แต่ SKE48 มีแค่งานในวงเท่านั้นที่ชัดเจน...

- พวกกัปตันกับลีดเดอร์ พวกนี้เป็นงานในวงสินะครับ

ชูริ: ใช่ค่ะ แต่ว่าหน้าที่งานที่แสดงออกไปข้างนอกกลับไม่ชัดเจน ดังนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องทำอะไรกันแน่ ถ้ามันชัดเจนขึ้นจะไม่ดีกว่าเหรอคะ?

- ผมก็ว่างั้นครับ

ชูริ: อ๊ะ! อยากให้ทุกคนบอกว่า "พูดถึงไลฟ์ก็ต้องเป็นทาคายานางิ อากาเนะ" ล่ะค่ะ รับหน้าที่สร้างไลฟ์ให้ร้อนแรง ตอนนี้ก็บ้าๆบอๆอย่างนี้ในทัวร์ทั่วประเทศค่ะ (หัวเราะ)

- ผมได้ไปดูแค่ที่อิบารากิเอง ครึกครื้นมากจริงๆครับ

ชูริ: เวลาที่ฉันสามารถแสดงตัวตนออกมาได้มากที่สุดก็คือตอนยืนอยู่บนเวทีค่ะ ถ้าได้เป็นคนที่ทุกคนมองว่า “มีเด็กคนนี้อยู่วางใจได้เลย” ก็คงดีค่ะ

- ทัวร์ในตอนนี้ เป็นทีมแต่ละทีมบวกกับเคงคิวเซย์สลับกันไปใช่มั้ยครับ

ชูริ: ฉันอยากให้ทุกคนมาร่วมกัน ระเบิดออกไปสุดแรง อยากบอกพวกเขาว่า “เล่นบ้าๆกว่านี้อีกหน่อยก็ได้นะ” ทั้ง (สุดะ) อาคาริและยากาตะ มิกิจังก็เคยพูดกับฉันว่า “ถ้ามีชูริอยู่ในไลฟ์มันจะสนุกมากเลย” เพื่อนที่เคยอยู่ทีมเดียวกันมาบอกกับฉันแบบนี้ ดีใจมากเลยล่ะ

ทั้งหมดเพื่อ SKE48

- ฤดูร้อนปีที่แล้ว เรนะซังจบการศึกษาไป อยากทราบว่าหลังจากนั้นความรู้สึกของทาคายานางิซังเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างครับ

ชูริ: อย่างแรกคือ พอเรนะซังจบการศึกษาไป ฉันก็รู้สึกว่า “เหลือคนเดียวแล้วสิน้า...” เรนะซัง มิเอปี้ (ซาโต้ มิเอโกะ) (ฟุรุคาว่า) ไอริ ทุกคนไม่อยู่แล้ว

- คนที่สนิทต่างค่อยๆจบการศึกษาไปแล้วสินะครับ

ชูริ: พอไม่มีคนที่สนิทกันแล้วมันเศร้ามาก ฉันยังเคยคิดเลยว่าต่อจากนี้ไม่อยากจะสนิทกับเมมเบอร์คนไหนอีกแล้ว ตอนช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ในห้องแต่งตัวทีม KII ก็เอาแต่อยู่คนเดียวตลอด แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ใจดีมาก มาถามฉันว่า “ชูริซัง มีอะไรรึเปล่า?” อย่างเช่นอาราอิ ยูกิจัง คิตาโน่ รุกะจัง แล้วก็เอโกะจัง พวกเขาช่วยฉันไว้ค่ะ ทำให้ฉันกลับมาพยายามอีกครั้ง

- พอเรนะซังจบการศึกษาไป ในวงมีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้างครับ?

ชูริ: ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วมีออกยูนิตเด็กรุ่นใหม่ Love Crescendo ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ “Chicken LINE” ก็มีเด็กๆมายืนอยู่ข้างหน้า ฉันคิดว่านี่เป็นผลจากการที่เรนะซังจบการศึกษาค่ะ

- ทาคายานางิซัง ส่วนตัวมองว่ายังไงครับ?

ชูริ: ฉันได้รับเลือกให้อยู่ยูนิต “Transit Girls” ค่ะ ตอนที่รู้ว่าคำว่า “Transit” หมายถึง “เปลี่ยน” ไม่คิดว่ามันสื่อออกมาได้ดีนะ ก็ฉันยังไม่คิดจะเปลี่ยนซะหน่อย

- ยังคงรออยู่ที่สนามบินต่อไป (หัวเราะ) (Transit แปลว่า เปลี่ยนเครื่องก็ได้)

ชูริ: ใช่ค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าถึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ตอนนั้นก็ไม่ได้พูดออกมา

- แล้วคิดว่า “Chicken LINE” เป็นไงบ้างครับ?

ชูริ: เป็นเพลงที่เท่มากค่ะ ถ้าไม่ใช่มุมมองส่วนตัวของทาคายานางิ ก็เป็นเพลงที่เยี่ยมมากเลย

- แล้วมุมมองของคุณคือ?

ชูริ: เจ็บใจมากค่ะ ที่จริงฉันคิดว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่คอยสอนพวกรุ่นน้อง ซึ่งฉันก็ทำมาตลอด แต่ว่าไม่มีใครมาออดิชั่นเพื่อจะเต้นอยู่หลังรุ่นน้องหรอกค่ะ

- ไม่มีหรอกครับแบบนั้น

ชูริ: อย่างเช่น (ทาคากิ) ยูมานะน่ะ เธอชอบเด็กๆ SKE48 ทุกคน อยากจะสนับสนุนทุกๆคน มันเป็นเรื่องที่งดงามมากๆ แต่ฉันน่ะฝันอยากจะเป็นไอดอลที่เปล่งประกาย แน่นอนว่าก็มีรุ่นน้องที่ฉันชื่นชมอยู่เหมือนกัน อยากให้เด็กเหล่านี้ได้รับความสนใจมากกว่านี้

- ลองบอกชื่อมาหน่อยได้มั้ยครับ?

ชูริ: อย่างเช่น...บอกไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) ฉันบอกกับเจ้าตัวไปแล้ว เพราะพอจะมองเห็นว่าพวกเขามีดี ในเวลาแบบนี้บอกชื่อพวกเขาไม่ได้หรอกค่ะ

- มีกี่คนครับ?

ชูริ: ค่ะ ก็มีทั้งคนที่ฉันอยากให้เข้าเซมบัตสึ มีทั้งคนที่เข้าเซมบัตสึได้แล้วแต่อยากให้ได้รับการชื่นชมมากกว่านี้...เยอะเลยค่ะ

- ทาคายานางิซัง กับจูรินะซังและเรนะซังเคยถูกเรียกว่า “JRA” มาก่อน รู้สึกจะเป็นช่วงปี 2011-2012 ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นยังไงครับ?

ชูริ: ตอนนั้นไม่มีอะไรต้องกลัวเลยค่ะ เพราะว่าที่ได้ตำแหน่งข้างหน้ามาอยู่ดีๆก็ได้มาโดยไม่รู้อะไรเลย ตอนที่ได้เข้าเซมบัตสึ “Aozora kataomoi” ก็รู้สึกถึงความกดดันจากรุ่นพี่ค่ะ รู้สึกแบบว่า “อ๊ะ แย่ละ” (หัวเราะ) หลังจากนั้นพอได้ร้องเพลงกับจูรินะซังและเรนะซังก็ดีใจมาก ทั้งชอบพวกเขามากและนับถือมากๆด้วย ก็ได้ร้องเพลงด้วยกันกับทั้ง 2 คน แต่...ตอนนั้นฉันคิดอะไรอยู่บ้าง? นึกไม่ออกเลยค่ะ คงคิดว่าอยากเป็นเซ็นเตอร์มั้งคะ?

- ที่ถามนี่ เพราะคิดว่าอาจจะได้คำตอบที่ช่วยชี้ทางให้รุ่นน้องได้น่ะครับ

ชูริ: ฉันตอบได้แค่ ฉันตอนนั้นน่ะ ทุ่มเทสุดชีวิตเลยค่ะ เพื่อที่จะได้เป็นเซ็นเตอร์ในสักวัน ความพยายามในวันนี้ จะต้องได้ผลกลับมาในสักวัน ทำไปด้วยความคิดแบบนั้น ที่ฉันบอกได้คือ “ความพยายามอาจจะไม่ได้ผลอะไรกลับมา แต่ในเมื่อมาอยู่ตรงนี้แล้วก็มีแต่ต้องทำให้มากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่เหรอ” ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก มีแค่เรื่องนี้แหละค่ะที่ฉันพูดได้อย่างภาคภูมิใจ ฉันน่ะระยะเวลา7 ปีที่ผ่านมาที่เข้ามาอยู่ SKE48 ไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือเวลาส่วนตัว ฉันก็คิดถึงแต่เรื่องของ SKE48 ยกเว้นแค่ตอนเล่นกับนกที่บ้านเท่านั้นแหละ!

- ตอนนั้น ช่างมันเถอะครับ (หัวเราะ)

ชูริ: แต่ว่าเพราะชอบนกมากก็เลยอยากทำงานที่เกี่ยวกับนกด้วย ถ้าพวกนกได้รับการคุ้มครองให้มันมีความสุขได้ก็จะดีค่ะ

- นี่คิดไปถึงขั้นนั้นเลยเหรอครับ!

ชูริ: ใช่ค่ะ อยากให้ประชากรนกเพิ่มขึ้น อยากให้ทุกคนรักนกพวกนี้ เพราะนกพวกนี้น่ะอยู่ได้แค่ประมาณ 10 ปีเอง...เรื่องนี้น่ะ ต้องคุยกันนะคะ?

- ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ (หัวเราะ)

ชูริ: ยังไงก็ตาม ที่จะบอกคือฉันจะทำเพื่อ SKE48 ค่ะ เพื่อไม่ให้มีเรื่องเข้าใจผิด พิธีบรรลุนิติภาวะฉันก็ไม่ได้ไปร่วม ตอนปีใหม่มีงานรวมญาติก็ไม่เดินข้างๆพี่ชายน้องชายเด็ดขาด

- สมแล้วที่เป็น “ชาว SKE48” (หัวเราะ) จะว่าไป ไซโต้ มากิโกะที่อยู่รุ่นเดียวกันได้เป็นกัปตันด้วย

ชูริ: ฉันบอกเธอไปว่า “จะต้องเป็นตัวของตัวเองนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จะไปกับเธอ” ที่ผ่านมาเธอเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคนมาตลอด แค่ทำเหมือนเดิมก็พอแล้ว

- เท่าที่ได้ถามเมมเบอร์หลายคนที่มาสัมภาษณ์คราวนี้ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า  “ความรู้สึกของวงเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ไม่หยุดนิ่งแล้วล่ะ” ทาคายานางิซังคิดว่ายังไงครับ?

ชูริ: ฉันรู้สึกว่ายังไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ค่ะ ดังนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ อยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง อย่างเช่น ตอนเปลี่ยนเซ็นเตอร์ “12 gatsu no kangaroo” แต่ครั้งนั้นเป็น NMB48 ที่เปลี่ยนไปก่อน

- ถ้าจะลองอะไรใหม่ๆ ก็อยากจะเป็นคนแรกที่ได้ลองสินะครับ

ชูริ: ค่ะ แล้วจริงๆก็อยากได้รายการประจำค่ะ (หัวเราะ) จนถึงตอนนี้ก็มีคนมากมายที่ชอบพวกเราเพราะได้ดูรายการทีวี เป็นโอกาสดีที่จะให้คนได้รู้จักคาแรคเตอร์ของแต่ละคนด้วย

- เป็นการสัมภาษณ์ที่ได้เข้าใจความคิดของทาคายานางิซังอย่างถ่องแท้เลย

ชูริ: ถ้าแบบนั้นก็ดีใจค่ะ แล้วก็เรื่องงาน “งานขาวแดง” เมื่อปีที่แล้วเราไม่ได้ขึ้นแสดง ฉันเจ็บใจจนร้องไห้ออกมาเลย แต่ดูเหมือนว่าเมมเบอร์ที่เจ็บใจกลับมีไม่มาก ยิ่งทำให้ฉันเจ็บใจเข้าไปอีก บางทีก็คิดว่านี่คงเป็นสถานการณ์ของ SKE48 ในตอนนี้ ฉันอยากให้ทุกคนมีความมั่นใจที่จะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง!

- ไม่เป็นไรหรอกครับ SKE48 น่ะยังไปต่อจากนี้ได้อีก!


วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

(91)[100%SKE48] แปลบทสัมภาษณ์กัปตันมักกี้ x อันนะเซนเซย์ (ไซโต้ มากิโกะ x มากิโนะ อันนะ)

ในวันนั้น ใบหน้าของไซโต้ มากิโกะแฝงไปด้วยความประหม่า
แต่ว่า เธอในเวลานั้นยังคงยิ้มได้
ใช่แล้ว มากิโกะไม่ล่วงรู้ความหมายที่แท้จริง
การเผชิญหน้าต่อจากนี้ กับผู้ที่ให้จิตวิญญาณแก่ SKE48 มากิโนะ อันนะ
นี่เป็นทางที่มากิโกะไม่อาจหนีไปได้

กัปตันไซโต้ มากิโกะ ครั้งแรกคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
แมทช์ที่ห้ามถอนตัวกลางคัน การตัดสินแพ้ชนะใน 90 นาที

การเริ่มต้นของโชคชะตา

- วันนี้ อยากเชิญไซโต้ มากิโกะซังที่ได้รับตำแหน่งกัปตันเมื่อเดือนมีนาคม มาพบกับอันนะเซนเซย์สักครั้งเลยจัดสัมภาษณ์ครั้งนี้ขึ้นครับ

มักกี้: ขอบคุณค่ะ

อันนะเซนเซย์: ฝากตัวด้วยค่ะ กัปตันนี่หมายถึงกัปตัน SKE48 ทั้งวงใช่มั้ย?

มักกี้: ใช่ค่ะ

อันนะเซนเซย์: โอ้!!

- แต่ว่ากัปตันคนใหม่คนนี้ ตั้งแต่เริ่มก็ไม่กล้าสบตาอันนะเซนเซย์เลยนะครับ (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: นั่นสิ ไม่มองฉันเลย

มักกี้: ไม่ใช่ค่ะๆๆ ฉันมองอยู่นะ!

- ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ ไม่ได้มองแน่ๆ (หัวเราะ) งั้นก่อนอื่น ช่วยอธิบายกับผู้อ่านทีครับว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นมายังไง เชิญกัปตันครับ

มักกี้: มันเริ่มมาจากคลิป 2 นาทีครึ่งจากโคเอ็ง Te wo tsunaginagara ค่ะ (คลิปที่ฉายในโคเอ็ง มีอัพใน youtube ด้วย) ใน DOCUMENTARY of SKE48 ที่ฉายเมื่อ 2 ปีก่อนก็มีฉากนี้อยู่ ฉากที่อันนะเซนเซย์กำลังสอนตอนช่วงซ้อมเพลง “Pinocchio Gun”

- ฉากที่อันนะเซนเซย์เสียงดังใส่ (มัตสึอิ) เรนะซัง “สีหน้ายังธรรมดาเกินไป!” “อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆสิ!” ใช่มั้ยครับ? นั่นน่าจะเป็นฉากดังที่แฟนๆSKE48 ทุกคนรู้จักกันดี

มักกี้: ฉันถูกบอกมาว่าต้องพูดคำพูดโด่งดังพวกนี้ในคลิป 2 นาทีครึ่ง



- รู้สึกจะเป็นโคเอ็งรอบเช้าวันที่ 9 พฤษภาคมปีที่แล้ว จะบอกว่า “ฉันแค่ถูกขอให้ทำแบบนั้น” สินะครับ

มักกี้: ใช่ค่ะ เพราะงั้นไม่ใช่ความผิดฉันนะ

อันนะเซนเซย์: ฮ่าๆๆๆ

มักกี้: ฉันเป็นแค่นักแสดงที่เล่นตามบทเท่านั้นเองค่ะ

อันนะเซนเซย์: เรื่องนี้น่ะ แฟนๆมารายงานให้ฉันรู้ตั้งนานแล้ว ในทวิตเตอร์น่ะ

มักกี้: (ทำหน้าตกใจ)

อันนะเซนเซย์: จากนั้นก็ได้ดูคลิปด้วย อืม ทำอะไรครึ่งๆกลางๆชะมัดเลย

มักกี้: ฮ่าๆๆ

- ทั้งๆที่ตัวเองพูดว่า “อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆสิ!” (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: ถ้าจะทำ ก็ต้องทำออกมาให้เว่อร์กว่าต้นฉบับ ให้ทุกคนขำให้ได้ แบบว่ารู้สึกเหมือนฉันดูเก้ๆกังๆยังไงไม่รู้

มักกี้: ขอโทษค่ะ...

- จากนั้น คลิป 2 นาทีครึ่งวันที่ 12 มิถุนายนก็ล้อเลียนอีกรอบ




มักกี้: ไม่ได้ล้อเลียนค่ะ! ฉันแค่เล่นตามบท!

อันนะเซนเซย์: เป็นความคิดของสตาฟฟ์ทั้งหมดเลยเหรอ?

มักกี้: ใช่ค่ะ!

อันนะเซนเซย์: สำหรับฉันน่ะนะ คิดว่าถ้าเป็นมากิโกะจะต้องเถียงไปแน่ๆ “อันนะเซนเซย์น่ะพูดออกมาอย่างจริงจังนะ อย่าเอามาเล่นเลยค่ะ”

มักกี้: ......(ก้มหน้าเงียบ)

- ไม่ได้เถียงไปเหรอครับ?

มักกี้: ...เปล่าค่ะ ตอนนี้เพิ่งจะรู้ตัวว่าฉันเถียงได้...

อันนะเซนเซย์: ฮ่าๆๆๆ

- หลังจากนั้นได้ติดต่อกันบ้างมั้ยครับ?

อันนะเซนเซย์: ในคอนเสิร์ตจบการศึกษาเรนะได้เจอกันครั้งนึงมั้ง?

มักกี้: ค่ะ เจอกันโดยบังเอิญหลังเวทีค่ะ ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เล่นทวิตเตอร์ ได้รู้ปฏิกิริยาของอันนเซนเซย์แค่จากในเน็ต เพราะงั้นพออยู่ดีๆเจอหน้ากัน เลยรู้สึก “เจอเข้าแล้ว...” (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: ฉันยังคิดอยู่ว่าตอนอยู่บนเวทีอยากจะคุยกันหน่อย

- บทในวันนั้นคือ เรนะซังล้มลงไประหว่างเต้นเพลง “Pinocchio Gun” จากนั้นอันนะเซนเซย์ก็ออกมาเซอร์ไพรส์

อันนะเซนเซย์: ตอนนั้นแหละค่ะที่เห็นมากิโกะ แต่ว่านั่นเป็นคอนเสิร์ตจบการศึกษาของเรนะ ถ้าฉันเอาคืนกับมากิโกะมันคงดูไม่เหมาะ จากนั้นที่หลังเวทีบังเอิญเจอมากิโกะ ในใจก็คิด “คราวนี้ต้องตัดสินกันไปเลย”

- ว้าว! “ตัดสินกันเลย” เหรอครับ!

อันนะเซนเซย์: อยากให้เรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้นอีกหน่อย (หัวเราะ)

มักกี้: ฮุๆๆ

- ในทวิตเตอร์ก็เขียนไว้ว่า “เข้าปะทะโดยตรง” ด้วย

อันนะเซนเซย์: เพราะพวกแฟนๆดูสนุกกันมากค่ะ

- เพราะแบบนี้ เลยเขียนพู่กันเมื่อโคเอ็งวันปีใหม่ว่า “โค่นล้มอันนะ!” ใช่มั้ยครับ?

มักกี้: ค่ะ (ยิ้ม)

อันนะเซนเซย์: มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?



มักกี้: ก็ถ้าเขียนแบบว่า “ก้าวไปเรื่อยๆ” คิดว่ามันจะไม่ธรรมดาไปหน่อยเหรอ ตอนที่ลังเลอยู่ว่าจะเขียนอะไร คุยกับเมเนเจอร์ซังคุยไปคุยมาก็ตัดสินใจได้ว่าเขียนแบบนี้แหละ แต่ว่า...

อันนะเซนเซย์: แต่ว่า..อะไร?

มักกี้: มือมันสั่นจนเขียนออกมาแทบไม่ได้เลย (หัวเราะ)

- พอเขียนเป็นตัวหนังสือคงรู้สึกถึงความกลัวสินะครับ

อันนะเซนเซย์: ที่ว่า “โค่นล้มอันนะ!” เนี่ย อธิบายรายละเอียดให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่าเธอจะโค่นล้มยังไง?

มักกี้: (อึกอักอย่างเห็นได้ชัด) ระ ระ เรื่องนี้ “โค่นล้ม” ก็คือ...

อันนะเซนเซย์: อื้ม คืออะไร?

มักกี้: ก็....คือ “ชัยชนะ” ค่ะ

อันนะเซนเซย์: คิดว่าจะเอาชนะฉันได้ยังไงบ้างล่ะ?

มักกี้: เอ่อ...เรื่องนั้น...ทำยังไงถึงจะเอาชนะได้เหรอ?

- คงไม่ดีมั้งครับที่จะฟังเรื่องนี้ (หัวเราะ)

มักกี้: ที่เขียนไปนั่นก็กะจะล้อเล่นเฉยๆ....

อันนะเซนเซย์: ไม่ได้ๆ ต้องให้ชัดเจนสิ ฉันรับคำท้าแล้ว

มักกี้: ไม่ใช่ค่ะ ตอนนั้นฉันไม่คิดจริงๆค่ะว่าเรื่องมันจะมาถึงขั้นสัมภาษณ์กันขนาดนี้ ฉันล้อเล่นจริงๆนะคะ

อันนะเซนเซย์: อยากลองพูดเหมือนกันนะว่า “ฉันแพ้แล้ว”

- เซนเซย์พูดว่า “ฉันแพ้แล้ว” ก็คือ ถูก “โค่นล้ม” แล้วมั้งครับ

มักกี้: นั่นสินะคะ

- ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทำให้เซนเซย์รู้สึกว่า “SKE48 ช่วงนี้ สุดยอดเลย” หรือ “มากิโกะเป็นกัปตันได้ไม่มีที่ติเลย” อย่างนี้ถือว่าเป็นการ “โค่นล้ม” ได้มั้งครับ

อันนะเซนเซย์: นี่แหละค่ะที่ฉันหวังไว้

- ยิ่งกว่านั้น ถ้ามากิโกะซังสั่ง “Sokutatsu Nama” (เบียร์ที่มักกี้เป็นพรีเซ็นเตอร์) ไปส่งที่บ้านอันนะเซนเซย์...

อันนะเซนเซย์: นั่นคือ “โค่นล้มอันนะ” แบบราบคาบเลยล่ะ (หัวเราะ)

ทำไมต้องเป็นไซโต้ มากิโกะ

- ต่อไปเรามาคุยเรื่องเป้าหมายแล้วก็วิสัยทัศน์ของการเป็นกัปตันของมากิโกะกันดีกว่าครับ

มักกี้: แน่นอนว่า มีหลายอย่างมากค่ะ

อันนะเซนเซย์: โอ้ว อยากฟังจัง

มักกี้: สำหรับ SKE48 น่ะ มีเมมเบอร์ทยอยจบการศึกษาไปเลยไม่ค่อยมั่นคง เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนค่ะ ยิ่งกว่านั้นยังเปลี่ยนกัปตันเริ่มระบบใหม่ในรอบ 2 ปี การที่เลือกฉันก็ไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร ทำไมถึงไม่เลือกรุ่น 1 อย่างจูรินะซังหรือมาซานะซัง?

- ได้รับคำตอบรึยังครับ?

มักกี้: ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน แต่ว่าบางทีฉันอาจจะคิดมากไปเรื่องรับหน้าที่กัปตัน ถึงฉันอยากจะคิดว่า “มันก็แค่ชื่อเรียกเองนี่” แต่ประกาศแต่งตั้งในงานที่ใหญ่ขนาดนั้น มันรับได้ยากน่ะค่ะ

- ดูเหมือนจะยังสับสนอยู่ งั้นวิสัยทัศน์ที่เพิ่งพูดมาเมื่อกี้คือยังไงครับ?

มักกี้: แน่นอนว่าการแสดงที่สุดยอดเป็นอิมเมจของ SKE48 แล้วอีกอย่างแม้เมื่อก่อนรุ่นพี่จะตั้งเป้าหมายที่จะไล่ตามและก้าวข้าม AKB48 แต่ตอนนี้ไม่ว่าดีหรือร้ายก็รู้สึกว่ามันพร่ามัวไปหมด

- ตั้งแต่ตอนไหนครับที่รู้สึกว่ามันเริ่มมัว?

มักกี้: ก็ 3-4ปีที่ผ่านมาค่ะ แต่ว่าเรื่องที่มันพร่ามัวนี่ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมันดี ไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง ตอนที่ฉันเข้ามา (ปี 2009) ยังมีแค่ทีม S ทีม S ตอนนั้นน่ะ ให้อิมเมจเป็นวงที่โปรมาก แบบว่าสุดยอดเลย อยากจะเก่งเหมือนพวกเขาบ้าง ฉันคิดว่าแบบนั้นต่างหากถึงจะเป็น SKE48 ที่แท้

- พูดอีกอย่างคือ อยากให้อิมเมจแบบนี้ชัดเจนขึ้นสินะครับ?

มักกี้: ใช่ค่ะ มีวงตั้งมากมายทั้งในและนอกประเทศ ตอนนี้ยังมี 46 กรุ๊ปอยู่อีก มีแค่นั้นที่ฉันไม่อยากให้มันเลอะเลือนไป แต่เมมเบอร์เปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป ดังนั้นการจะทำในจุดนี้เลยยากมาก เมมเบอร์ที่รู้เรื่องในตอนนั้นไม่อยู่กันเกือบหมดแล้ว ถ้าคนพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว” ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

- สำหรับ SKE48 ในตอนนี้ อันนะเซนเซย์คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?

อันนะเซนเซย์: ไม่นานมานี้ฉันก็คิดท่าเต้นซิงเกิ้ลให้อยู่ แต่ว่าพอสอนท่าให้หมดแล้วก็จบ ไม่ได้คุยมากกว่านั้น สำหรับรุ่น 1 ฉันเป็นคนสอนเองตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์ ดังนั้นพวกเขาเลยจำคำพูดของฉันได้ แบบว่า “ต้องคิดให้ดี ถ้าไม่มีวงพี่วงน้องวงอื่น อยากจะเป็นคู่แข่งกับ AKB48 ในแบบไหน คำตอบของคำถามนี้จะนำทางพวกเธอไป” “เพื่อที่จะก้าวข้าม AKB48 ต้องทำยังไง ไม่ใช่มุ่งไปในทางสายนี้อย่างสุดกำลังหรอกเหรอ?” อะไรประมาณนั้น ฉันพูดแบบนี้ สอนพวกเขาอยู่ 2 อาทิตย์ ถ้าอยากให้ดีพอที่จะขึ้นไปยืนบนเวทีได้ในเวลาสั้นๆแค่นั้น ก็ต้องกดดันเค้นพลังออกมา แต่ฉันก็ทำได้แค่นั้น หลังจากนั้นพวกเขาจะยังทำเต็มที่หรือเปล่า จะมุ่งไปยังเป้าหมายเดียวกันอยู่หรือเปล่า เป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจเดาได้

- เซนเซย์ตอนที่สอนมีแต่รุ่น 1 สินะครับ

อันนะเซนเซย์: ที่ฉันอยากฟังจากปากมากิโกะก็คือ “ทุกคนอยากให้ SKE48 ในตอนนี้เป็นแบบไหน” พูดตามตรง ตอนที่ดูพวกเขาในทีวี ฉันไม่เข้าใจถึงจุดนี้เลย กลัวว่าสำหรับคนทั่วไป จะแยกไม่ออกแล้วว่านี่คือ AKB48 หรือ SKE48 SKE48 น่ะ เป็นวงที่เมมเบอร์ทุกๆคนร่วมกันสร้างขึ้น ฉันอยากรู้มากๆว่าทุกคนคิดยังไงกันแน่ อยากจะสร้างวงที่เป็นแบบไหนกันแน่ อนาคตของวงขึ้นอยู่กับเรื่องนี้แหละ ตอนนี้ฉันยังดูไม่ออกเลย

มักกี้: ...(ฟังอยู่เงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: ฉันก็สงสัยว่าได้คิดถึงเรื่องนี้กันบ้างหรือเปล่า?

- มากิโกะซัง ว่ายังไงครับ?

มักกี้: คนที่ออกทีวีมีแต่เซมบัตสึค่ะ ฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้ว่าทุกคนคิดยังไง ถ้าไม่พูดถึงรายการทีวี ถ้าเป็นคอนเสิร์ตล่ะก็ การแสดงบนเวทีก็ไม่เหมือนสมัยก่อน มันอาจมาจากแรงผลักดันที่ต่างกันของเมมเบอร์แต่ละคน ถึงอย่างนั้น ความภาคภูมิใจของ SKE48 คือที่เธียร์เตอร์อย่างเดียวอย่างนั้นเหรอ เรื่องนี้คิดว่าทุกคนก็รู้สึกอยู่เหมือนกัน แต่ว่า อืม....

อันนะเซนเซย์: ที่เธียร์เตอร์ SKE48 เป็นยังไงเหรอ?

มักกี้: โคเอ็งของทีม E ตอนนี้คือ “Te wo tsunatsuginagara” ฉันทำได้แค่พูดถึงเรื่องการแสดงเท่านั้น ดังนั้นเลยอยากจะต้องพูดมันออกมาให้หมด

อันนะเซนเซย์: งั้น ถ้าเป็นมากิโกะพูดทุกคนถึงจะทำตามรึเปล่า? หรือว่า ทุกคนรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว?

มักกี้: ถึงฉันไม่อยู่ ทุกคนก็ทำได้ดีค่ะ

อันนะเซนเซย์: ถ้างั้นเวลาเล่นคอนเสิร์ตล่ะ เป็นยังไง?

มักกี้: คอนเสิร์ตน่ะ ต้องจำตำแหน่งและการเคลื่อนที่เยอะมาก จะแสดงออกไปให้คนดูอย่างไร แค่พยายามไม่ให้ตัวเองทำผิดก็เหนื่อยมากแล้ว โดยเฉพาะพวกเด็กๆเคงคิวเซย์

อันนะเซนเซย์: งั้นเหรอ มีรายละเอียดที่ต้องทำให้ดีเยอะสินะ แล้วใน SKE48 มากิโกะมีตัวตนเป็นยังไงล่ะ?

มักกี้: อืม...มันยังไงนะ?

อันนะเซนเซย์: ไม่ว่ายังไง ฉันว่าในเมื่อเลือกมากิโกะเป็นกัปตัน ก็ต้องคิดว่าเธอจะมีความหมายอะไรบางอย่างกับ SKE48 แน่ๆ อย่างเช่น ทดแทนในส่วนที่ SKE48 ยังอ่อนอยู่ ไม่ก็ชี้นำทางที่ทุกคนจะไป ถ้าเป็นอย่างนั้นมากิโกะในตอนนี้มีอะไรบ้างล่ะ? อะไรที่ทำให้เธอมั่นใจว่าจะไม่มีวันแพ้ใคร?

มักกี้: ....(น้ำตาไหล)

อันนะเซนเซย์: อย่างเช่น ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าเซมบัตสึ แต่ก็ไม่หนีไปไหนแล้วยังพยายามต่อไป หรืออย่างเช่น ความรักที่มีต่อวง ฉันน่ะจะคอยดูมากิโกะตลอดไม่ได้ แล้วก็ไปดูโคเอ็งทุกวันไม่ได้ด้วย แต่ว่าดูจากที่แฟนๆบอกกับสิ่งที่มากิโกะพูดให้ฟังเมื่อกี้ ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เลือกเธอ เพราะไม่ว่าเธอจะอยู่ตำแหน่งไหน เธอก็ทำต่อไปโดยไม่ไขว้เขว นี่แหละเป็นความหมายที่เลือกเธอเป็นกัปตันล่ะ

มักกี้: ...(ก้มหน้าเงียบ)

- พอได้ฟังอันนะเซนเซย์พูดแล้ว คิดว่ายังไงบ้างครับ?

มักกี้: ...ฉันไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดว่าตัวเองทำถูก ไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเป็นตัวอย่างให้ใครได้ ดังนั้นตอนที่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตัน เลยกังวลมาก ตอนนี้ ฉันก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเข้าใจ SKE48 ทั้งหมด แล้วยังไม่รู้ด้วยว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง แต่ว่าตั้งแต่ที่ได้รับคำนำหน้าว่า “กัปตัน” ฉันก็คิดมาตลอด ถ้าถูกถามว่า “จากนี้อยากทำยังไงต่อ?” ฉันก็คงจะแค่พูดคำสวยหรูตอบผ่านๆไป

อันนะเซนเซย์: นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่ามากิโกะจะแสดงตัวเองออกไปยังไง ที่สำคัญที่สุดคือต้องแสดงตัวตนที่แท้จริงของมากิโกะออกไป เป็นกัปตันนะไม่ใช่ซูเปอร์แมน ไม่มีใครเลือกเธอมาเป็นกัปตันเพราะคาดหวังว่าเธอจะทำได้ทุกอย่างหรอก “แม้อยากจะให้วงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง” แค่พูดอย่างนี้ก็ดีแล้ว ฉันเป็นเซนเซย์ เลยใช้คำพูดที่ดูเหนือกว่าแบบนี้ได้ แต่มากิโกะเป็นเมมเบอร์คนนึงในวงจะทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันคิดว่าทุกคนดูการกระทำของเธอมากกว่าคำพูด ไม่ว่าจะพูดคำสวยหรูออกไปมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าพวกเมมเบอร์จะฟังหรือไม่ก็ตาม ขอแค่มากิโกะสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปได้ พยายามสุดแรงเกิดให้พวกเขาเห็นว่าเธอทำเต็มที่เพื่อวง มันต้องเห็นผลแน่ๆ ถ้าแค่พูดออกไปเท่ๆว่า “ฉันทำได้อยู่แล้ว” จะด้วยสีหน้าแบบไหนก็ส่งไปไม่ถึงหรอก จะข้อดีหรือข้อเสียก็แสดงออกไปให้หมด ที่สำคัญคือเธอทุ่มเททั้งกายใจลงไปได้หรือเปล่า ไม่มั่นใจในตัวเองก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องนี้ใครๆก็กังวล มากิโกะที่กังวลอยู่ตลอดแบบนี้แหละถึงจะงดงาม

มักกี้: ....(เสียงอ่อน) ค่ะ

อันนะเซนเซย์: แต่ว่า! ห้ามหนีเด็ดขาด! จะไม่ทำอะไรเลยเพราะไม่มีความมั่นใจไม่ได้นะ เพราะไม่มีความมั่นใจนี่แหละถึงต้องพยายามทำอะไรสักอย่าง

มักกี้: ....(เสียงอ่อน) ค่ะ

กล้าที่จะแสดงตัวตนออกไป

- ได้เป็นกัปตันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ได้คุยอะไรกับเมมเบอร์บ้างมั้ยครับ?

มักกี้: ฉันได้รู้ว่าตัวเองฝืนยิ้มทำตัวเป็นมิตรกับทุกคนมาตลอด

- ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ?

มักกี้: งานแรกของการเป็นกัปตันคือ โคเอ็งรำลึกแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 มีนาคมค่ะ ทุกๆปีจะมีโคเอ็งแบบนี้ สำหรับพวกเราก็นับว่าสำคัญ แต่ยังรู้สึกว่าเมมเบอร์บางคนไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าไหร่ อย่างเข่น ปกติเวลาช่วงก่อนโคเอ็งจะทำเล็บ ทำผมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่วันที่ 11 มีนาคมน่ะ ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำไม่ใช่เหรอ? มีบางคนที่ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนล่ะก็ ฉันจะต้องตักเตือนแน่ แต่ตอนนี้ได้รับเลือกให้เป็นกัปตัน ถ้าไปจ้ำจี้จ้ำชัยมาก อาจจะคิดว่า “จะพยายามทำตัวเป็นกัปตันงั้นเหรอ” ฉันกลัวมากว่าพวกเขาจะมองฉันแบบนั้น วันนั้นฉันยังต้องจำสคริปต์ด้วย เลยปล่อยมันไป และในตอนนั้นเองก็ได้รับรู้ว่าคงยากที่ตัวเองจะดูแลเมมเบอร์ทุกๆคน

- สิ่งที่อยากพูดสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป รู้สึกตัวเองไม่มีประโยชน์งั้นสินะครับ

มักกี้: เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับตัวเองมากค่ะ แก้ปมไม่ออก หลังจากโคเอ็งจบลงก็ร้องไห้ออกมาที่ข้างเวที น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด... ได้ยินคนพูดว่า “เอ๋? มากิโกะล่ะ?” ถึงรู้ว่าพวกเขาตามหาฉันอยู่ แต่ว่าตัวฉันมันไม่ยอมขยับ นั่งอยู่ตรงนั้นเกือบชม.ตรงข้างเวทีตำแหน่งที่ 1 (หัวเราะ)

- นั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่ 1 ตลอดเลยเหรอครับ (หัวเราะ)

มักกี้: ตอนนั้นรับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองได้อย่างลึกซึ้งเลยค่ะ กังวลมากไม่รู้ว่างานหลังจากนี้จะราบรื่นหรือเปล่า

- เรื่องที่ร้องไห้นี่ เมมเบอร์รู้มั้ยครับ?

มักกี้: ไม่ค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ไปถามสตาฟฟ์ซัง ฉันคิดว่าคงไม่รู้ ที่จริงฉันก็ไม่อยากให้รุ่นน้องเห็น

อันนะเซนเซย์: ตัวเองก็เป็นเมมเบอร์แต่กลับต้องรับผิดชอบที่จะนำคนอื่น มันค่อนข้างลำบากและโดดเดี่ยว เมื่อก่อนฉันก็เป็น ตอนเป็นเมมเบอร์ SUPER MONKEY'S แล้วยังต้องสอนเมมเบอร์คนอื่นอีก จะสอนพวกเขาได้ ก่อนอื่นตัวเองก็ต้องทำให้ดีก่อน ความกดดันแบบนี้มันเยอะมาก แล้วยังกลัวอีกว่าจะถูกพวกเขาเกลียดมั้ย แต่ว่าต้องมีความกล้าที่จะถูกเกลียด ไม่งั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน การดุคนอื่นในเวลาเดียวกันก็เป็นการทำร้ายตัวเองด้วย แต่ที่พูดจาแย่ๆพวกนี้ออกไปได้ ไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ

มักกี้: ...(ฟังอย่างเงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: จนทุกวันนี้ ก่อนจะเข้าห้องซ้อมฉันยังบอกกับตัวเอง “ถ้าเด็กพวกนี้เติบโตขึ้นได้ล่ะก็ ถึงจะถูกพวกเขาเกลียดก็ไม่เป็นไร” อีกอย่างแค่เธอแสดงความพยายามออกไป สักวันพวกเขาจะเข้าใจ ถ้าทำครึ่งๆกลางๆล่ะก็ ไม่ต้องทำดีกว่า ในเมื่อตัดสินใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้สมบูรณ์ แม้ฉันจะอายุ 44 แล้ว แต่ตอนดุคนอื่นมือก็ยังสั่นอยู่นะ แล้วมากิโกะอายุเท่านี้ได้เป็นกัปตันแล้ว ตอนดุคนอื่นคงจะต้องเจ็บปวดแน่ๆ ขนาดทาคามินะเองยังรู้สึกเจ็บปวดเลย ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน แต่ว่า! ยังไงก็ต้องทำนะ แม้แต่ฉันเอง บางทีก่อนนอนนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ยังรู้สึกเสียใจเลยว่า “ตอนนั้นไม่น่าพูดแบบนั้นไปเลย”

มักกี้: ...(ฟังอย่างเงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: จากนี้มากิโกะจะค่อยๆเติบโตไปเป็นกัปตันที่แท้จริงมั้ย เรื่องพวกนี้น่ะตัวเองคงจะค่อยๆรู้เอง อาจจะล้มเหลว อาจจะร้องไห้ อาจจะท้อก้าวไปข้างหน้าก้าวนึงแต่ต้องถอยหลังมาสามก้าว แต่ก็เพราะการทำซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่แหละ ถึงจะช่วยสอนให้มากิโกะเป็นกัปตันได้ เริ่มแรกทำไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาแต่ว่า จะต้องมีความตั้งใจ

มักกี้: ...ค่ะ

อันนะเซนเซย์: ยิ่งฝ่าฟันอุปสรรคไปมากเท่าไหร่ มากิโกะก็ยิ่งโตขึ้นเท่านั้น ตอนที่มากิโกะกล้าที่จะเผชิญหน้ารับตำแหน่งกัปตัน ทั้งการแสดง ทั้งสีหน้าของมากิโกะ ทั้งความหมายของตัวตนของเธอในวง ก็เปลี่ยนไปทั้งหมด คนที่ได้รับโอกาสแบบนี้มีไม่มาก ถึงจะล้มเหลวแต่แค่ได้ทำเต็มที่ก็พอแล้ว! ถึงจะต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่แค่กลับมายืนให้ได้ก็พอแล้ว! ถ้าทุ่มเทเต็มที่แล้วยังทำไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นความผิดของคนที่เลือกเธอมาต่างหาก!

- นั่นสิครับ เพราะได้รับเลือกต่างหาก

อันนะเซนเซย์: แล้วก็ ถ้าได้เห็นความพยายามของมากิโกะ จะต้องมีพรรคพวกที่จะไปด้วยกันแน่ๆ

- ตอนนี้ก็มีไม่ใช่เหรอครับ? ได้ไปกินข้าวกับพวกเมมเบอร์ คงจะได้คุยกันเรื่องวงด้วยมั้งครับ?

มักกี้: อืม...ลองคิดๆดูแล้ว คงไม่มีมั้งคะ ฉันไม่รู้จะพูดเรื่องพวกนี้กับพวกเขายังไง ฉันกลัวว่าเราจะคิดไม่ตรงกัน...

อันนะเซนเซย์: นั่นเพราะมากิโกะยังไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกไป แค่มากิโกะพูดเสียงที่อยู่ในใจออกไปตรงๆ เด็กคนนั้นต้องเข้าใจแน่ๆ แบบนี้ทุกคนก็จะรู้สึกว่า “มากิโกะทุ่มเทมาขนาดนี้แล้ว ฉันต้องสนับสนุนเธอ” มีแค่แบบนี้เท่านั้น คนจะเข้ามาร่วมกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ที่แท้จริงยังไม่เริ่มขึ้น ทุกคนในตอนนี้แค่สื่อสารกันธรรมดาเท่านั้น แค่ไม่อยากให้เกลียดกันแค่นั้น

สิ่งสำคัญในโลกใบนี้

- ย้อนกลับไปที่เรื่องที่คุยกันก่อนหน้า ตอนที่ประกาศแต่งตั้งให้เป็นกัปตัน รู้สึกยังไงบ้างครับ?

มักกี้: ....

- ตอนนั้นเหมือนเห็นคุณดีใจจนร้องไห้เลยครับ

มักกี้: ไม่ค่ะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ตั้งแต่ซาเอะซังประกาศจบการศึกษาเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน ก็มีความคาดหวังต่อวงเข้ามากมายจากหลายทาง แต่ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเป็นได้ มีความรู้สึกว่าทำไม่ได้มากๆเลยค่ะ โมเม้นต์ที่ได้ยินประกาศ ในใจก็คิด “อ่า กลายเป็นจริงซะแล้ว” ขาอ่อนไปเลยค่ะ

- ต้องขอโทษด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจผิดหมดเลย (หัวเราะ)

อันนะเซนเซย์: แต่ว่า ตอนนี้ก็คงยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นกัปตันอยู่ดีล่ะมั้ง วันนี้แค่เห็นหน้าฉันก็รู้สึกได้แล้ว

มักกี้: ...ขอโทษค่ะ (ยิ้ม)

อันนะเซนเซย์: ยังไม่ถึงจุดที่ “จะต้องทำให้ได้!” เลย มากิโกะ ฉันจะบอกให้ อย่าไปคิดว่า “ทำได้หรือทำไม่ได้” แต่ให้คิดว่า “จะทำหรือไม่ทำ” เธอตอนนี้น่ะยังไม่มีความรู้สึกว่า “ฉันจะทำให้ดู!”เลย ถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร โยนความกลัวทิ้งไป เธอต้องเลือกจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จากประสบการณ์ของฉัน คนเราน่ะแค่คิดว่า “ยังไงก็ต้องทำให้ได้!” ก็จะทำได้แน่นอน ถ้าใจคิดว่า“ยังไงก็ต้องทำให้ได้!”แล้วแต่ทำไม่ได้ซักอย่าง นั่นก็พูดเหลวไหลแล้วล่ะ ถ้าเอาชนะความรู้สึกตัวเองได้ก็ทำได้แล้ว ฉันมองดูแววตามากิโกะในตอนนี้ยังหาไม่เจอความตั้งใจนั้นเลย เพราะเธอไม่ได้มองตาฉันแล้วบอกว่า “ฉันจะเปลี่ยนแปลง SKE48 เอง!” เลยใช่มั้ยล่ะ

มักกี้: .....(เอาแต่ก้มหน้า)

อันนะเซนเซย์: ถ้าไม่มีความตั้งใจแบบนั้น เธอจะลำบากนะ ชีวิตเธอจะอยู่ในความกังวลตลอดเวลา

- แต่ว่า วันนี้ถือเป็นการเปิดสวิตช์เลยแล้วกันครับ ผมคิดว่าทั้งเมมเบอร์ ทั้งแฟนๆต้องอยู่ข้างคุณแน่นอน

มักกี้: อืม...

อันนะเซนเซย์: มากิโกะ ทำไมถึงเอาแต่ลังเลแบบนั้นล่ะ?

- ยังมีอะไรที่ยังเก็บไว้ไม่ได้พูดออกมามั้ยครับ? นี่เป็นโอกาสดีที่จะพูดออกมานะครับ 

อันนะเซนเซย์: เธอกำลังคิดจะจบการศึกษา? เรื่องนี้รึเปล่า?

มักกี้: “เคย” คิดค่ะ ฉันจะเป็นเมมเบอร์ SKE48 ได้อีกนานแค่ไหนนะ? มันอยู๋ในหัวฉันตลอด

อันนะเซนเซย์: งั้นเหรอ ดันได้มาเป็นกัปตันเอาตอนนี้ คงจะทุ่มเททั้งกายใจไม่ได้ กลับกัน ถ้ามากิโกะจบการศึกษาไปแล้ว เธออยากทำอะไรล่ะ?

มักกี้: แน่นอนว่ายังไงฉันก็ชอบการร้องการเต้น แม้หวังว่าจะได้เข้าเซมบัตสึแต่ตอนนี้มันไม่ได้มีผลกับฉันมากขนาดนั้นแล้ว แม้ว่าจะไม่มั่นใจว่าออกจาก SKE48 แล้วจะหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ว่าฉันอยากจะออกไปสู้ดูซักตั้ง เพราะงั้นเลยคิดว่าอาจจะจบการศึกษาในปีนี้...

อันนะเซนเซย์: จากความรู้สึกที่ฉันมองมากิโกะในตอนนี้นะ ถ้าออกจาก SKE48 ไปดิ้นรนข้างนอก ยังอ่อนเกินไป

มักกี้: ..........

อันนะเซนเซย์: ถ้าอยากจะดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวล่ะก็ จะต้องคว้าโอกาสทุกๆโอกาส ต้องมีแรงผลักดันและมีความกล้า ไม่งั้นก็จะล้มเหลวแน่ๆ ในวงการน่ะนะ แม้ความสามารถจะสำคัญก็จริงแต่ในท้ายของท้ายที่สุดก็คือความเชื่อมั่นอันแรงกล้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องมองมันในแง่ดี คนแบบนี้แหละที่เรียกว่าแข็งแกร่ง ถ้าคิดแบบนี้ มากิโกะตอนนี้ยังอ่อนแอ แต่ว่าเธอน่ะได้รับโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ ได้เป็นกัปตัน ได้ทำเรื่องต่างๆเยอะขึ้น ประสบการณ์พวกนี้จะเป็นสมบัติของเธอในก้าวที่จะก้าวต่อไป กับงานทุกวันนี้น่ะรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าในงานพวกนี้ก็มีสิ่งที่ทำให้เธอเติบโตขึ้นซ่อนอยู่ ก็เหมือนอากิโมโตะ ซายากะกับซาเอะจังนั่นแหละ “ถึงจะยุ่ง ถึงสภาพแลดล้อมจะไม่เอื้อ แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่” นั่นเป็นเพราะพวกเขามองเห็นพัฒนาการของตัวเองหลังจากจบการศึกษา ดังนั้นเลยถือว่างานที่ทำอยู่เป็นการฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่ามากิโกะจะตัดสินใจออกไปตอนไหน ต่อจากนี้สิ่งที่เธอต้องมีไม่ใช่ฝีมือการเต้นแต่เป็นการใช้ชีวิตของคนเราต่างหาก

มักกี้: ....(ฟังอย่างเงียบๆ)

อันนะเซนเซย์: การต่อสู้ในวงการบันเทิงน่ะ ต่างจากทั่วไปโดยสิ้นเชิง เพราะงั้นถ้าเธอคิดถึงชีวิตหลังจากจบการศึกษาไป ตอนนี้เธอได้รับโอกาสที่ดีมากมาแล้ว ถ้าเธอไม่เคลียร์มันคงจะไม่ได้ พูดอีกอย่างคือถ้าเธอเป็นกัปตันแต่จบการศึกษาไปโดยยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง นั่นคือการ “หนี” ล่ะ

มักกี้: ....(ร้องไห้) ค่ะ

อันนะเซนเซย์: ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะล้มเหลวมันก็จะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น คิดว่าทำเพื่ออนาคตของตัวเองไง! เข้าใจรึยัง?

มักกี้: ค่ะ

- ประสบการณ์ที่ได้ในวันนี้ก็คือทางสู่ความสำเร็จในวันหน้านะครับ

อันนะเซนเซย์: สู้เขา!!

มักกี้: ฮ่าๆๆๆ! (เริ่มมีรอยยิ้มกลับมา)

- มาทำตามที่ตัวเองเขียนไว้ในโคเอ็งวันปีใหม่ “โค่นล้มอันนะ!” กันเถอะครับ

มักกี้: เอ่อ...เรื่องนี้น่ะไม่ไหวค่ะ (หัวเราะ)

- งั้นผมสรุปคำพูดของอันนะเซนเซย์ง่ายๆให้ฟังนะครับ “มากิโกะ อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆสิ”

อันนะเซนเซย์: ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

มักกี้: ฮุๆๆๆ ขอโทษค่ะ

- มากิโกะซังล้อเลียนคำว่า “อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ” ตอนนี้ที่สุดก็ได้รับบูมเมอแรงย้อนกลับมาเป็นสิบเท่าเลยนะครับ

มักกี้: ฮ่าๆๆๆๆ

- วันนี้ช่างเป็นเวลาที่มีความหมายมากเลย (หัวเราะ) ต่อไปก็ขอถ่ายภาพคู่กันหน่อยครับ....

มักกี้: ขอไปแต่งหน้าเพิ่มก่อนค่ะ! (หัวเราะ) เซนเซย์คะ วันนี้ขอบคุณมากเลยค่ะ

อันนะเซนเซย์: พยายามเข้า มากิโกะ! ดูเหมือนว่าฉันคงต้องจับตามอง SKE48 ต่อไปแล้วล่ะ (หัวเราะ)


วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

(91)[100%SKE48] แปลบทสัมภาษณ์อุฮะริอง (คิตากาวะ เรียวฮะ x อาซุมะ ริอง)

ตั้งแต่เปิดตัวรุ่น 6 ของ SKE48 ก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว
รุ่นพี่ได้ทยอยจบการศึกษาออกไป คู่ “อุฮะริอง” ที่ถูกจับตามองนั้นถือเป็นหน้าเป็นตาของวง
ด้วยใจที่สับสน ทั้งสองคนกำลังดิ้นรนในการเติบโตที่นาโกย่า พวกเขาในตอนนี้เป็นยังไงนะ?
บัดนี้ ดวงอาทิตย์เริ่มจะทอแสงแล้ว

Nippon Budokan สั่นสะเทือน
อยากเห็นภาพเมื่อ 4 ปีที่แล้วอีกครั้ง

คำพูดที่ซาเอะซังฝากไว้

- ตอนแรกคิดว่าถ้าริองได้ใบขับขี่แล้ว จะขับรถชมวิวไปสัมภาษณ์ไป ให้เรียวฮะนั่งข้างคนขับ

เรียว: อยากนั่งอ่ะ! ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว?
ริอง: ใกล้สอบรอบสุดท้ายแล้วล่ะ
เรียว: รู้สึกไงมั่ง?
ริอง: ก็พอได้ อยากได้ใบขับขี่เร็วๆอ่ะ จะได้ไปขับรถชมวิว จริงสิ เรื่องที่พูดเมื่อกี้ ไปฮอกไกโดกันมั้ยคะ!
เรียว: ขับรถชมวิวที่ฮอกไกโดหรอ? อยากไปๆ ตกลงตามนี้!

- ผมยังไม่ทันจะตกปากรับคำเลยนะ (หัวเราะ)

ริอง: ต้องสนุกแน่ๆ จะพาไป Coach&Four ล่ะ (Coach&Four ห้างใหญ่ที่ฮอกไกโด)

- นั่นคือห้างที่ริองไปถ่ายโฆษณาให้ใช่มั้ยครับ น่าไปจริงๆ แต่ว่างบของทางเรามัน...

เรียว: (ไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย) อยากไปร้านซูชิที่ริองชอบด้วยอ่ะ!
ริอง: ดีเลย! งั้นคราวหน้าไปฮอกไกโดกันนะคะ!

- แม้พวกคุณจะตกลงกันแล้ว แต่ผมยังไม่ได้บอกว่า “อื้ม” เลยนะ (หัวเราะ) จะว่าไป  ฝีมือขับรถเป็นยังไงบ้างครับ?

ริอง: ฉันขับดีนะคะ

- งั้นเหรอ!? ดูจากในวีดีโอที่โตโยต้าไอจิอัพโหลด คุณขับปีนขอบทางตลอดเลยนี่

ริอง: นั่นมันผ่านไปแล้วค่ะ! ตอนนี้ขับบนทางหลวงได้สบายๆแล้ว
เรียว: เก่งจัง!

- ไม่เก่งขนาดนั้นหรอกน่า! (หัวเราะ)

ริอง: ตอนขับจริงก่อนจะขึ้นรถก็กังวลมาก แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว
เรียว: พาฉันไปด้วยสิ!
ริอง: จริงด้วย อยากไป Nagashima (Spaland) มั้ย? (สวนสนุกที่ทีม S ไปถ่าย MV “Kanojo ga Iru” กันมา)
เรียว: ไปด้วย!!

- พวกเราเข้าเรื่องได้แล้วมั้งครับ (หัวเราะ) บทสัมภาษณ์จะตีพิมพ์ลงใน BUBKA ฉบับพิเศษ ส่วน BUBKA ฉบับปกติเล่มล่าสุดเป็นปกมิยาซาว่า ซาเอะล่ะ 

เรียว: ฉันรู้ค่ะ! น่ารักมากเลย! สุดยอด!

- ขอบคุณครับ (หัวเราะ) นี่พอดีอีกไม่กี่ชม.ก็จะต้องขึ้นโคเอ็งจบการศึกษา(ของมิยาซาว่า)แล้ว ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?

เรียว: ยังไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ ถึงจะรับรู้ว่ามันจริง แต่พอคิดว่าจะไม่ได้ขึ้นแสดงโคเอ็งด้วยกันแล้ว จะไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันแล้วก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย
ริอง: นั่นสิน้า ตอนที่ซาเอะซังมา SKE48 เมื่อ 2 ปีก่อน ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เมื่อวานกำลังคิดว่าจะทำอะไรให้ซาเอะซังพอดี เลยคุยไลน์กับฟุตามุระ ฮารุกะซัง สุดท้ายก็ตกลงว่าจะทำเค้กล่ะ จากนั้นก็พยายามทำเค้กสุดฝีมือทั้งคืนเลย กะว่าพอโคเอ็งจบจะให้เป็นเซอร์ไพรส์ นี่อ่ะค่ะ (ว่าแล้วก็โชว์รูปเค้กให้ดู)

- โอ้ มีเขียนว่า “SAE” “LOVE” ด้วย! ขนาดริองยังทำให้ซาเอะซังขนาดนี้ แล้วเรียวฮะผู้ที่ชอบซาเอะซังที่สุดล่ะทำอะไรครับ?

เรียว: ทำอัลบั้มรูปจบการศึกษาของซาเอะซังกับทาเคอุจิ ไมซังค่ะ ทำจนถึงตีห้าเลยล่ะ! ตอนนี้เลยง่วงมาก

- ขอโทษนะครับ ที่เลือกเวลาเช้าแบบนี้มาสัมภาษณ์

เรียว: เพราะว่าเป็นงานทำมือน่ะค่ะ ต้องนั่งติดรูป กะว่าจะให้ตอนระหว่างโคเอ็ง ไม่ก็ตอนจบ

- สำหรับซาเอะซังนี่เต็มไปด้วย LOVE จริงๆเลยนะครับ วันนี้คงจะร้องไห้กันแน่เลย?

เรียว: ไม่ร้องค่ะ ไม่คิดว่าตัวเองจะร้อง ก้าวผ่านช่วงเศร้ามาแล้วค่ะ ไม่มีค่ะ ไม่มี!

- นี่เข้าสู่วิถี “เซน” แล้วเหรอครับ

ริอง: เรียวฮะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน แม้ว่าวันที่ซาเอะซังประกาศจบการศึกษาจะเสียใจมากก็ตาม
เรียว: ไม่ใช่ซะหน่อย ก่อนคอนเสิร์ตจบการศึกษา 2 อาทิตย์สภาพฉันแย่มาก ขนาดงานจับมือยังร้องไห้เลยล่ะ
ริอง: เรื่องนี้ ไม่รู้เลยอ่ะ
เรียว: เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่เข้า SKE48 มาที่ร้องไห้หนักขนาดนี้ เพราะว่าไม่อยากร้องต่อหน้าเมมเบอร์คนอื่น ตอนที่กลั้นไว้ไม่อยู่ก็ไปแอบร้องไห้ในห้องสตาฟฟ์ซังตลอด ร้องจนตาบวมไปหมด แต่ว่าใช้น้ำยาหยอดตา แฟนๆก็เลยไม่รู้ (หัวเราะ)

- ต้องขอบคุณวิวัฒนาการทางการแพทย์นะครับ (หัวเราะ) จะว่าไป ในคอนเสิร์ตจบการศึกษาเมมเบอร์ก็เรียงแถวกันเป็นดอกไม้ ตอนนั้นซาเอะซังก็เข้าไปคุยทีละคนๆใช่มั้ยครับ? แม้วันนั้นจะเข้าไปดูบล็อกทุกคนแล้วแต่ไม่เห็นใครเขียนถึงที่คุยกันเลย

ริอง: ไม่เขียนอยู่แล้วค่ะ
เรียว: มันเป็นคำพูดที่อยากจะเก็บไว้ในใจ

- ในเมื่อมันสำคัญขนาดนี้ ตอนนี้ก็เปิดเผยเป็นครั้งแรกไปเลยเถอะครับ?

เรียว&ริอง: ไม่บอกค่ะ!

- งั้น ใบ้ซักนิดก็ยังดี

ริอง: งั้นบอกประโยคนึงละกัน “ขอฝากตัวกับปะป๊าหม่าม๊าด้วยนะ”

- หมายความว่าไงครับ?

ริอง: ก็ส่วนนี้มันไม่ค่อยสำคัญเลยบอกได้ ฮุๆๆๆ
เรียว: เรียวฮะน่ะ ยังไงก็ไม่บอกค่ะ

- ไม่บอกสินะ...อ่า..ทั้งๆที่เราอุตส่าห์ทำเล่มพิเศษแล้วแท้ๆ...(จงใจพูดเว่อร์ๆ)

เรียว: งั้นบอกใบ้นิดนึงก็ได้ เขาพูดกับฉันว่า “ดูแลตัวเองด้วยนะ” ชอบบอกฉันบ่อยๆว่า “เรียวฮะน่ะทำเป็นเก่งเกินไปนะ ไปปรึกษากับพวกผู้ใหญ่มากๆหน่อยก็ดีน้า” ฉันว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้นแหละ
ริอง: เรียวฮะเป็นประเภทที่ไม่ค่อยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาไง

- อย่างนี้นี่เอง หมายความว่า ให้ไปอ้อนมากๆหน่อยล่ะมั้ง?

ริอง: อยากรู้มากกว่านี้มั้ยคะ?

- อยากๆๆ
ริอง: ซาเอะซังส่งไลน์มาหาฉันล่ะ
เรียว: (หน้าดูอิจฉา) โกหกน่า! เมื่อไหร่กัน? ส่งมาเมื่อไหร่? ทำไม? ใช่ซาเอะซังเหรอ?
ริอง: วันที่มีคอนเสิร์ตจบการศึกษาฉันขอบคุณเขาไป เขาเลยตอบกลับมา ฉันอ่านจากไลน์ให้ฟังเต็มๆเลยแล้วกัน

- แปะๆๆๆๆๆ รออยู่นะครับ!
ริอง: “รี่ซัง คุ๊กกี้คันทรี่มัมอร่อยมากเลย! อร่อยกว่าซื้อที่ร้านอีก! ขอบคุณนะ คอนเสิร์ต 2 วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ ขอบคุณมากจริงๆ เธอน่ะทั้งสวยทั้งน่ารักแล้วยังดูลึกลับด้วย อยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง แต่ว่าบางทีก็มีความรู้สึกว่าน่าเสียดายนะ ถ้าริองตระหนักถึงข้อดีพวกนั้นล่ะก็ จะต้องเป็นคนที่เก่งกว่าตอนนี้แน่ๆ ฉันตั้งตารออยู่นะ วันที่ 31 มีนาวันสุดท้ายก็ฝากตัวด้วยนะ” วันนั้น ฉันทำคุ๊กกี้ไปให้เขาค่ะ เขาก็ตอบกลับมาแบบนี้
เรียว: (อิจฉาจนแทบทนไม่ได้ x2)

- เรียวฮะซังกำลังอิจฉาแหละ สีหน้าบ่งบอกเลย (หัวเราะ)

เรียว: ไม่ใช่ซะหน่อย แค่คิดว่าเยี่ยมไปเลย ซาเอะซังน่ะใจดีกับทุกคน ฉันชอบที่ตรงนี้แหละ!
ริอง: ฉันอ่านเนื้อหาในไลน์ให้ฟังไปหมดแล้ว งานถ่ายที่ฮอกไกโด ฝากด้วยนะคะ

- อันนี้คุยตรงนี้ไม่ได้มั้งครับ....



ตัวตนที่แท้จริงกับตัวตนใหม่

- ซาเอะซังมีพูดว่า “น่าเสียดาย” ด้วย  คุณคิดว่าเพราะอะไรครับ?

ริอง: ฉันรู้ค่ะ คนอื่นมักจะมองว่าฉันเป็นพวกเก็บตัว ดูเหมือนไม่ค่อยมีแรงผลักดัน แล้วก็ดูเหนื่อยหน่ายด้วย เมื่อกี้นี้เห็นตัวเองจากมอร์นิเตอร์ ถึงได้รู้สึกว่า “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เองที่ทุกคนบอกมาตลอด!” เดิมทีฉันก็ไม่ใช่คนที่ร่าเริงอะไร เสียงก็เบา ยิ่งเป็นข้อเสียเข้าไปอีก แต่ว่าเพราะซาเอะซัง ฉันเลยค่อยๆร่าเริงขึ้น ฉันได้รับความสดใสร่าเริงจากซาเอะซังค่ะ

- ต้องขอบคุณซาเอะซังสินะครับ?

ริอง: ใช่ค่ะ ฉันเป็นประเภทขี้อาย ไม่ค่อยสนิทใจกับใครเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าเข้าใจแล้วว่าการเข้าสังคมก็เป็นงานอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ซาเอะซังสอนฉันมา จะว่าไปเรียวฮะเองก็เป็นประเภทคล้ายๆกันกับฉัน
เรียว: เอ๋? ประเภทน่าเสียดายเหรอ? ไม่เคยได้ยินใครพูดเลย
ริอง: เป็นอย่างนั้นแน่ๆ (หัวเราะ)
เรียว: แปลกจังน้า แต่ว่า ฉันสนิทแล้วนะไม่มีอะไรแบบนี้หรอก

- สนิทแล้ว (หัวเราะ)  งั้นขอใช้โอกาสนี้ พูดอะไรหน่อยนะครับ เรียวฮะเวลาที่อยู่กับมัตสึโมโต้ จิคาโกะซังน่ะเป็นคนละคนเลยนะ

ริอง: ฉันก็คิดงั้นเหมือนกัน!
เรียว: คนละคน...ค่ะ (หัวเราะ) ฉันชอบเล่นอะไรบ้าๆบอๆตอนอยู่ด้วยกันกับเมมเบอร์ ตอนก่อนเข้า SKE48 ก็เหมือนกัน ไปโรงเรียนก็โดนดุในคาบเรียนบ่อยๆ จริงๆแล้วฉันเป็นคนแบบนั้นแหละ แต่ว่าหลังจากเข้า SKE48 ความคิดก็จริงจังมากขึ้น คิดว่าจะต้องทำอะไรๆด้วยความสุขุม ก็เลยดูเหมือนเงียบๆ ฉันคิดว่า ตัวฉันตอนที่อยู่กับจิคาโกะคือฉันที่แท้จริงล่ะ
ริอง: เวลา 2 คนนี้อยู่ด้วยกันทีไร ตามไม่ทันทุกที
เรียว: ก็แค่ป่วนเล่นๆกันแค่นั้นเอง (หัวเราะ) อีกอย่าง พอซาเอะซังจบการศึกษาไปแล้วก็ไม่มีใครสร้างบรรยากาศในห้องแต่งตัวแล้ว จากนี้ไปให้เป็นหน้าที่ฉันกับจิคาโกะเอง!
ริอง: เอาเลย! ที่จิคาโกะได้เป็นรองลีดเดอร์ทีม S ก็คงมีความหมายแบบนี้ด้วยแน่ๆ จิคาโกะกับซาเอะซังก็คล้ายกันอยู่นะ
เรียว: คล้ายมากเลยล่ะ
ริอง: เป็นคนแปลกๆเหมือนกัน เนอะ

- จิคาโกะซังน่ะ ถ้าพูดตามที่ผมเห็น ก็ยังไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่นะครับ

เรียว: ยังเรียกริองว่า “นามาระ! นามาระ!” อยู่เลย (ภาษาพูดของฮอกไกโด แปลว่า มากๆ หรือ สุดยอด)
ริอง: ใช่ เป็นวิธีที่จิคาโกะทักทายฉันน่ะ (หัวเราะ)

- เป็นคนแบบนี้เองสินะครับ อยากสัมภาษณ์เธอบ้างจัง แต่ว่าพอซาเอะซังจบการศึกษาไปแล้ว บรรยากาศในทีมเปลี่ยนไปมั่งมั้ยครับ?

ริอง: (ซาเอะซัง) ไม่ได้ขึ้นโคเอ็งบ่อยๆ คงไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเยอะค่ะ
เรียว: แต่ว่าไม่ใช่ทีมค่ะ ถ้าพูดถึงทั้งวงมันไม่เหมือนเดิม มีเรื่องที่มีแต่ซาเซอะซังเท่านั้นที่ทำได้ ซาเอะซังจะคอยเอาความคิดเห็นของเมมเบอร์ไปบอกสตาฟฟ์ซัง ถ้าซาเอะซังพูดเมมเบอร์ก็จะเห็นด้วย ถ้าถามว่าใครจะมารับหน้าที่นี้ต่อก็ต้องเป็น (ไซโต้) มากิโกะซังล่ะนะ

- กัปตันคนใหม่มากิโกะซังเป็นคนยังไงครับ?

ริอง: เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีค่ะ เข้ากับคนอื่นเก่งมากเลย
เรียว: เป็นเพื่อนกับเมมเบอร์ AKB48 ซังด้วย
ริอง: ช่วงนึงเคยอาศัยอยู่ห้องเดียวกับเขาด้วย เป็นรุ่นพี่ที่เข้าถึงง่ายมาก เหมาะมากเลยที่ได้เป็นกัปตัน
เรียว: เหมาะมากเลยเนอะ!
ริอง: บางทีการได้รับตำแหน่งกัปตันก็ทำให้หนักใจอยู่ไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะคะ แต่เมมเบอร์ทุกคนชอบมากิโกะซังมากเลยอยากจะสนับสนุนเขาน่ะค่ะ
เรียว: เรียวฮะก็สนับสนุนเหมือนกัน

ออกจากวิกฤติ

- เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า พวกคุณคิดว่า SKE48 ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์แบบไหนครับ?

ริอง: เพิ่งจะออกมาจากวิกฤติครั้งที่ใหญ่ที่สุดค่ะ
เรียว: เรียวฮะก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน!
เรียว & ริอง: เย่! (ไฮไฟว์กัน)

- รู้สึกได้จากไหนเหรอครับ?

ริอง: อย่างไม่นานมานี้ ในรายการ LINE live ก็มีคนดูตั้ง 8 แสนคนแน่ะ
เรียว: อันนี้ดีใจมากเลยเนอะ!
ริอง: ไม่ใช่จำนวนคนทั้งหมดนะคะ แต่เป็นจำนวนคน 8 แสนคนเน็ตๆ อีกอย่าง BUBKA ซังก็ยังไม่ได้ทำ SKE48 ฉบับพิเศษขึ้นมาเลยด้วย ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
เรียว: แล้วก็มี ESCA!

- แคมเปญของห้างสถานีในรถไฟใต้ดินที่นาโกย่า ที่ให้ SKE48 เป็นพรีเซนเตอร์ตั้งแต่เดือนเมษายนสินะครับ 

เรียว: เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ ได้ประกาศออกไปว่านี่แหละ “SKE48 แห่งนาโกย่า”
ริอง: แล้วก็ ยังได้ลงนิตยสารเยอะขึ้นด้วย ฉันเองก็ได้รับเลือกให้ขึ้นปกด้วยค่ะ
เรียว: ใช่ ได้ลงเยอะขึ้นด้วย
ริอง: ตั้งแต่ประมาณหนึ่งปีก่อน อยู่ดีๆงานถ่ายแบบนิตยสารก็น้อยลง แต่ปีนี้ฉันยังไม่ได้พักเลย

- งั้นที่ริองซังพูดเมื่อกี้  “วิกฤติครั้งใหญ่ที่สุด” คือตอนไหนครับ?

ริอง: ตอน “Koppu no naka no komorebi” ค่ะ ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว
เรียว: นั่นสิน้า
ริอง: พูดอีกอย่างก็คือ หลังจาก (มัตสึอิ) เรนะซังจบการศึกษาค่ะ แล้วก็ยังมีตอนที่รู้สึกว่าแย่ละ คือช่วง “Bukiyou Taiyou” ฤดูร้อนปีที่แล้ว

- ก็คือ หลังจากนาโกย่าโดมสินะครับ?

เรียว: จำได้ว่ารู้สึกถึงช่องว่างระหว่าง “Mirai to wa?” กับ “Bukiyou Taiyou” ค่ะ
ริอง: แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางที่ดีค่ะ

- นี่เป็นเพราะอะไรครับ?

ริอง: ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าเมมเบอร์ทุกคนต่างพยายามเต็มที่เลยใช่มั้ยล่ะคะ สตาฟฟ์ซังเองก็พยายามในที่ๆเรามองไม่เห็นอยู่เหมือนกัน
เรียว: ใช่แล้ว ทุกคนรู้ดีว่าเป็นแบบตอนนี้มันไม่ไหวแน่ ก็เลยร่วมแรงกัน ตอนที่ SKE48 ร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันจะมีพลังมากเลยล่ะ ตรงนี้น่ะ ยังไงก็ไม่แพ้

การเลือกตั้งที่ลังเลและมุ่งมั่น

- สุดท้ายที่อยากถามคือ เรื่องของงานเลือกตั้งครับ

ริอง: แน่นอนต้องคุยเรื่องนี้อยู่แล้วเนอะ (หัวเราะ) จริงๆแล้วปีนี้ก็ลังเลเหมือนกันว่าจะลงหรือไม่ลงดี

- เอ๋? ทำไมล่ะครับ?

ริอง: เป้าหมายเมื่อปีที่แล้วคือ “ติดอันดับ” เป้าหมายนั้นก็บรรลุแล้ว (อันดับที่ 61) คิดว่าคงจะมีคนที่เหนื่อยล้าเพื่อการนี้อยู่แน่เลย แต่ว่าเลือกตั้งก็มีข้อดีเยอะเหมือนกัน ปีที่แล้วที่ติดอันดับก็ได้งานมาไม่น้อยเลยค่ะ

- รู้สึกว่ามีแฟนใหม่ๆเข้ามาที่งานจับมือบ้างมั้ยครับ?

ริอง: มีค่ะ นั่นเป็นเพราะได้ออกสื่อมากขึ้น ได้ออกทีวีเพราะฝีมือการเล่นเปียโน รายการ “konya wa otomari” ก็ค่อนข้างเด่น ก็มีแฟนที่มาบอกว่า “ได้ดูรายการ....ด้วยล่ะ” ค่ะ

- เรียวฮะว่ายังไงครับ?

เรียว: ฉันน่ะ เรื่องลงเลือกตั้งคิดจนถึงตอนสุดท้ายเลย ก่อนหน้านี้ตัดสินใจว่าจะไม่ลงค่ะ ถ้าไม่ติดขึ้นมา หรืออันดับตกลง อาจจะมีคนพูดว่า “คิตากาว่า เรียวฮะก็มาได้แค่นี้ล่ะ” ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นค่ะ
ริอง: อื้ม เรื่องนี้ฉันก็กลุ้มใจเหมือนกัน

- แต่ว่า สุดท้ายก็ตัดสินใจลง แม้แต่ละคนจะมองงานเลือกตั้งต่างๆกันไป แต่ก็ต้องบอกว่า สำหรับโลกนี้ “AKB48 = งานเลือกตั้ง” ล่ะนะครับ

เรียว: เรื่องนี้ฉันรู้ค่ะ

- อย่างการได้ดูข่าวเช้าโดยไม่ตั้งใจ คนที่รายงานข่าว AKB48 ก็รายงานข่าวเรื่อง SKE48 ด้วย นี่ก็สำคัญมากเลยใช่มั้ยล่ะครับ อย่างเช่น ที่เขาพูดถึงเรื่อง “SKE48 เป็นวงอันดับหนึ่ง” ข่าวพวกนี้ก็จะไปถึงคนพวกนี้ง่ายมากเลย

ริอง: ฉันก็คิดว่าเรื่องนี้สำคัญค่ะ

- อีกอย่างบางที งานเลือกตั้งอาจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะเผยแพร่ชื่อของ SKE48 ออกไป แม้ว่าซิงเกิ้ล รายการเพลงจะสำคัญ แต่ SKE48 ในงานเลือกตั้งน่ะแข็งแกร่ง

ริอง: จริงค่ะ

- ขอโทษนะครับที่พูดมากไปหน่อย เป้าหมายของทั้ง 2 คน คือ undergirls ใช่มั้ยครับ?

เรียว & ริอง: ใช่ค่ะ
เรียว: เมื่อก่อนประกาศถึงแค่ 40 อันดับเองใช่มั้ยคะ? เพราะงั้นถ้าไม่ได้เกินกว่านั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจค่ะ
ริอง: อันดับที่สูงกว่าปีที่แล้วเป็นเป้าหมายของฉันค่ะ แต่ว่าก็ยังไม่กล้าพูดออกไปว่าเป็นเซมบัตสึ Undergirls ก็เป็นเป้าหมายที่สูงมากเหมือนกัน แต่เป้าหมายยิ่งสูงตัวเองก็ยิ่งพยายาม

- งานเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน  undergirls มาจาก SKE48 เยอะมาก ทำให้ Nippon Budokan สั่นสะเทือนไปหมด ถ้าเกิดขึ้นอีกล่ะก็ คงสุดยอดไปเลยนะครับ 

ริอง: ฉันก็อยากเห็นภาพแบบนั้นเหมือนกัน (หัวเราะ)

- จะว่าไปแล้ว ปีที่แล้วตอนช่วงนี้ก็ได้สัมภาษณ์ทั้งสองคนเหมือนกัน เทียบกับตอนนั้นแล้ว คิดว่าทั้งสองคนพัฒนาไปมากเลย แบบว่าแข็งแกร่งขึ้น

เรียว: จริงเหรอคะ?

- คิดอย่างนั้นจริงๆครับ ตอนที่สัมภาษณ์ซาเอะซัง เธอบอกว่า “อยากบอกเมมเบอร์ที่คิดว่าไม่ไหว ว่าฉันน่ะเจอช่วงตกต่ำมา 3 รอบแล้ว ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้น แต่ก็ผ่านมาได้” ถ้าผ่านอุปสรรคไปได้ก็จะทำให้แข็งแกร่งขึ้นใช่มั้ยล่ะครับ?

เรียว: ฉันน่ะ เจอมาแล้วล่ะ! ลองแล้ว ลองอีก ลองไปเรื่อยๆ

- เรียวฮะซังตอนเป็นเคงคิวเซย์ก็ได้ผ่านการลองเป็นอันเดอร์ทีม S ด้วยสินะครับ

เรียว: ใช่ค่ะ ผ่านสภาพที่จำเป็นต้องรับไว้นั้นมา ถ้าเป็นที่โรงเรียนล่ะก็ ฉันคงไม่เอาแน่ คงจะบอกว่า “จะออกจากโรงเรียนล่ะนะ” แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่โรงเรียน แต่เป็นโลกที่ฉันเข้ามาด้วยความชอบของตัวเอง ถ้าหนีไปมันก็คงจบ

- แข็งแกร่งขึ้นแล้วนะ ทางด้านริองซังล่ะครับ?

ริอง: ฉันไม่ได้ผ่านอะไรแบบนั้นมาค่ะ แต่จากนี้ก็คงมี การซ้อมละครเวที AKB49 ก็เริ่มขึ้นแล้วด้วย
เรียว: พยายามเข้า (หัวเราะ) ปีที่แล้วฉันก็ผ่านมันมา แม้ฉันจะพูดว่าพยายามเข้านะได้ไม่เต็มปาก แต่ตอนนั้นน่ะฉันพยายามจริงๆนะ

- ตัวละครหลักอุราคาว่ามิโนรุ / มิโนริ เป็นบทที่สำคัญมากเลยนะครับ

ริอง: ที่ได้รับบทแทน (ชิบาตะ) อายะซังน่ะ อันที่จริงฉันบอกไปแล้วรอบนึงว่าไม่ไหวค่ะ แต่คิดว่าการลองทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ก็ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ การซ้อมยังไม่เริ่มฉันก็เป็นเสี่ยงๆแล้ว ใจนี่เหมือนโดนเข็มทิ่มเลยค่ะ
เรียว: จะเอาใจช่วยนะ! จะไปดูตอนซ้อมด้วย!

- ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าผ่านมันไปได้...

ริอง: จะได้ไปถ่ายงานที่ฮอกไกโดใช่มั้ยคะ?

- เรื่องนี้ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยซักคำ (หัวเราะ)


วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

(91)[100%SKE48] แปลบทสัมภาษณ์จูรินะ x นิชิชิ (มัตสึอิ จูรินะ x นากานิชิ ยูกะ)

เพราะเวลามันผ่านมาแล้วเลยพูดได้
จูรินะ ไปเลยไม่ต้องลังเล!

ฤดูใบไม้ผลิปี 2015 นากานิชิ ยูกะกัปตัน SKE48 คนก่อนผู้เป็นกำลังหลักของจูรินะได้ไปจากนาโกย่า
ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งปีทั้งตำแหน่งและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างมาก
ทั้งสองคนจะคุยอะไรกันบ้าง บทสนทนาที่ไปไกลเกินกว่าประวัติศาสตร์ 8 ปีที่ผ่านมา!

การจบการศึกษาของมัตสึอิ เรนะ

นิชิ: จูรินะ ไม่เจอกันนานเลยนะ
จู: นาน...ที่ไหนกันเล่า! ก่อนหน้านี้ยังได้ไปดูละครเวทีเธออยู่เลย
นิชิ: จริงด้วย ขอบคุณที่มานะ
จู: เรื่อง "Cherry Boys" ที่โรงละคร Ginza Hakuhinkan เนอะ
นิชิ: เป็นยังไงบ้าง? ฉันเล่นเป็นภรรยาที่กำลังท้องล่ะ
จู: บทน่ะเอาไว้ก่อน ที่ได้ไปดูละครเวทีของนิชิชิเนี่ย รู้สึกซึ้งมากเลยล่ะ ขนาดบางฉากที่ไม่ได้ดูซึ้งยังรู้สึกว่า "อ่าา ดีจังเลยน้า" เปล่งประกายจริงๆ กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลยล่ะ
นิชิ: ดีใจจังเลยน้า งั้นคราวหน้ามีละครเวทีก็ลองมาเป็นนักวิจารณ์ดูสิ จะได้แบบว่ามาช่วยโฆษณาด้วย (หัวเราะ)
จู: แบบว่า ทั้งๆที่ฉันอายุน้อยกว่าแต่รู้สึกอย่างกับเป็นคุณแม่แน่ะ
นิชิ: แม้อายุจะห่างกัน 8 ปีแต่ไม่มีรู้สึกประหลาดอะไรเลยเนอะ
จู: ใช่ ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ก็เพราะเราเป็นรุ่นเดียวกันไง
นิชิ: ฉันเองก็มีความคิดเหมือนคนอายุประมาณ 20 เหมือนกัน
จู: เว่อร์เกินไปแล้ว (หัวเราะ) แต่ว่าเปล่งประกายจริงๆนะ คงเป็นเพราะเป็นเรื่องที่อยากทำละมั้ง
นิชิ: ไม่ใช่ๆๆ ยังห่างไกลจากความฝันเยอะเลย
จู: เห็นนิชิชิแบบนี้แล้ว ฉันเองก็อยากทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำล่ะ
นิชิ: แต่ว่านะ หลังจากจบการศึกษาก็รู้สึกว่าได้ใช้ประโยชน์จากท่าเต้นที่ได้เรียนรู้จาก SKE แล้ว!
จู: ก็มันต้องเป๊ะมากเลยนี่นะ
นิชิ: เพราะได้รับการชื่นชมเรื่องเต้น โอกาสก็เลยเพิ่มมากขึ้นล่ะ
จู: ดีใจจังเลยแบบนี้
นิชิ: เรื่องของฉันพอแค่นี้ดีกว่า เข้าเรื่องกันได้แล้ว! ฉันจบการศึกษาไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคมปีที่แล้ว หลังจากนั้น SKE48กับจูรินะเป็นยังไงบ้าง? ยังรู้สึก "Rena Loss" (เสียใจที่เรนะแกรดไป) อยู่รึเปล่า?
จู: "Rena Loss" (หัวเราะ) เห็นจากทวิตเตอร์เรนะจังล่ะ น่าสนใจมากเลย
นิชิ: ฉันก็เห็นเหมือนกัน (หัวเราะ)
จู: มันเป็นเพราะนิชิชิกับเน่ซังจบการศึกษาแล้ว ก็เหลือแค่เรารุ่น 1 แค่ 3 คน (จูรินะ เรนะ มาซานะ) ถึงจะชอบพูดว่า"เหงาจังเลยน้า" แต่จริงๆแล้วตอนนั้นเรนะจังก็คิดเรื่องจบการศึกษาเหมือนกัน
นิชิ: งั้นสินะ แค่ยังไม่ได้กำหนดเวลาแค่นั้น
จู: เวลาที่อยู่ด้วยกัน 3 คนมันสั้นจริงๆ ฉันน่ะรู้สึกว่าอยากให้ "เรา 3 คนมาพยายามด้วยกันเถอะ" เพราะงั้นพอเรนะจังประกาศจบการศึกษาเลยเหงามาก
นิชิ: นี่คงเป็นสาเหตุของ "Rena Loss" สินะ
จู: ใช่แล้ว เสาหลักเริ่มจบการศึกษาไปทีละคนๆ
นิชิ: แต่ว่าก็ยังมีมาซานะนะ?
จู: อื้ม ตอนที่ปรึกษากันเวลามีเรื่องอะไร ฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนมาซานะเข้าไปทุกที
นิชิ: แล้วก็ยังมีเด็กๆคนอื่นอีกนะ?
จู: อย่าง (คิตางาว่า) เรียวฮะกับโกโต้ ราระจังสินะ
นิชิ: ฉันพลาดรุ่น 7 ไปอ่ะ
จู: แล้วก็มีคุมะจัง (คุมาซากิ ฮารุกะ) พอเห็นพวกเด็กๆค่อยๆเติบโตขึ้นมาก็มีความสุขมากเลยล่ะ เพราะมีพวกเขา เลยออกมาจาก Rena Loss ได้
นิชิ: สำรับจูรินะแล้ว การที่ได้ช่วยเด็กๆเติบโตเนี่ย เหมือนว่ามองเห็นอนาคตที่สดใสของ SKE48 เลยเนอะ?
จู: ใช่ๆ รุ่น1 เหลือแค่ 2 คนแล้ว รุ่น 2 ก็ลดลงไปเยอะ จนถึงตอนนี้คนที่เป็นกำลังลำคัญของ SKE48 ก็ค่อยๆจบการศึกษาออกไป เหงาชะมัดเลย
นิชิ: ฉันก็จบออกไปเกือบปีแล้ว ในระหว่างนี้วงเรามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ฉันอยากรู้
จู: ตอนที่นิชิชิกับเน่ซังจบการศึกษาฉันจำได้ว่าเคยพูดไว้ว่า "อยากให้เมมเบอร์ที่ตระหนักได้ว่าพวกเราไม่อยู่แล้วนะ ออกมากันให้มากขึ้น" พอได้ยินอย่างนี้ เมมเบอร์ก็รู้สึกกระตือรือร้นกันมากขึ้นแบบว่า "ต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อ SKE48แล้ว" ไม่ใช่แค่คิดถึงแต่เรื่องตัวเองแต่คิดถึงเรื่องของวงด้วย มันน่าดีใจมากเลยล่ะ ร้อนแรงเหมือนกับตอนที่พวกเรารุ่น 1 เพิ่งเข้ามาแบบว่า "ต้องทำให้ SKE48 ดีขึ้นให้ได้" บรรยากาศเหมือนตอนนั้นเลยล่ะ
นิชิ: งี้นี่เอง ชักจะรู้สึกเหงาแล้วแฮะ ทุกคนลืมพวกเราแล้วรึเปล่าน้า
จู: ไม่ลืมหรอกน่า! อย่างซุสุกิ(ริกะ)หรืออีกหลายคนก็พูดว่า "ไม่มีนิชิชิกับมิเอปี้แล้วนะ!" (หัวเราะ)

อยากเป็นกำลังให้เธอ

นิชิ: ตอนที่โดน Rena Loss อยู่ช่วงนึงก็ได้รุ่น 7 มาช่วยไว้ เดือนมีนาคมปีนี้มิยาซาว่าซังก็จบการศึกษาไปเหมือนกันใช่มั้ย? คงเหงาล่ะสิ?
จู: เหงาสิ
นิชิ: มีกังวลด้วยมั้ย?
จู: มีสิ สำหรับฉันน่ะ ซาเอะจังเป็นรุ่นพี่คนแรกของฉันใน SKE48 เลย แค่มีเขาอยู่ข้างๆก็วางใจ นี่ไม่ใช่แค่ฉันนะที่คิด ทุกคนก็คิดแบบนั้น เพราะมีตัวตนของซาเอะจังอยู่ ไม่ว่าจะตอนที่ตัดสินใจจบการศึกษาหรือตอนก่อนที่โคเอ็งจบการศึกษาจะเริ่มขึ้น แน่นอนว่าความรู้สึกทุกคนมันสับสนมาก...แม้จะอยากยิ้มเพื่อส่งเขาไปแต่ว่าก็มีเด็กๆร้องไห้กันล่ะ
นิชิ: สำหรับจูรินะแล้ว รู้สึกว่ากลุ้มใจจังเลยน้าหรือรู้สึกว่าไม่มั่นคงกันล่ะ อย่างไหน?
จู: รู้สึกว่าไม่มั่นคงล่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ร้องไห้ตอนโคเอ็งจบการศึกษาแต่ตอนที่พูดๆอยู่น้ำตาก็ไหลออกมา
นิชิ: จูรินะก็เป็นรุ่นพี่นะ
จู: อื้ม อยากให้ซาเอะจังจบไปด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข เลยไม่อยากร้องไห้ ตัวตนของซาเอะจังน่ะจำเป็นนะ แม้จะพูดแบบนั้นแต่ฉันน่ะยังเป็นคนที่สุดยอดเหมือนซาเอะจังไม่ได้เลย
นิชิ: ให้เหมือนไปซะทุกอย่างไม่ได้หรอกนะ ถ้าเป้าหมายคือแบบนั้น จูรินะก็จะฝืนตัวเองเกินไป
จู: ความรู้สึกที่อยากจะเป็นกำลังให้กับทุกคนมันเอ่อล้นเลยล่ะ แต่ว่าฉันอาจจะไม่เหมาะที่จะพูดแบบนั้น
นิชิ: งั้นสินะ จูรินะน่ะเป็นประเภทนำทุกคนโดยให้มองจากแผ่นหลัง ฉันว่า คงกำลังแสดงให้รุ่นน้องเห็นว่ายังมั่นคงอยู่ ขณะเดียวกันก็ไปทัวร์แสดงเพลง "Wimbledon e tsureteitte" ด้วย
จู: ยังมีเล่นละคนสั้นกับนิชิชิ เน่ซังแล้วก็มาซานะด้วย
นิชิ: อยากจะรักษาสภาพแบบนั้นไว้ ไม่อยากให้มันหายไป แต่ก็ทำไม่ได้ คงกังวลมากๆเลยสินะ
จู: ตอนนี้ไม่มีคนให้อ้อนแล้วสิน้า
นิชิ: อ้อนยูอาสะ (ฮิโรชิ ผู้จัดการเธียร์เตอร์ SKE48) ก็ได้หนิ? เขาก็เหมือนรุ่น 1 คนนึง แน่นอนว่าเป็นคนที่พูดอะไรด้วยก็ได้
จู: ยูอาสะซังเป็นคนที่จะคุยอะไรก็ได้ มีประสบการณ์เป็นผู้จัดการ AKB48 ด้วย กลับมา SKE48 ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นล่ะนะ
นิชิ: ตอนที่ควบทีมจูรินะก็รู้สินะ
จู: เพราะงั้นตอนที่คุยกับเขาว่าฉันทำแบบนี้จะดีกับ SKE48 มั้ย เขาก็เข้าใจ เขากลับมานี่ดีจริงๆนะ
นิชิ: ฉันน่ะ จริงๆแล้วไม่รู้นะว่ายูอาสะซังกลับมาแล้ว มีตรงไหนเปลี่ยนไปบ้างมั้ย?
จู: ความรักต่อ SKE48 เพิ่มขึ้นล่ะ
นิชิ: งั้นสินะ!
จู: ทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อ SKE48 แม้จะเป็นที่ที่เมมเบอร์มองไม่เห็นก็ตาม
นิชิ: ยูอาสะซังไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเมมเบอร์หรอก เพราะงั้นเลยอาจจะถูกเข้าใจผิดได้ง่าย ฉันว่าให้เห็นหน่อยก็ดี
จู: นั่นสินะ ยูอาสะซังก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน แต่ว่าไม่ว่ายังไงก็พยายามหาวิธีขาย SKE48 ก็ทำงานอยู่ล่ะ
นิชิ: นี่น่ะ เพราะมุมมองของจูรินะกว้างขึ้นแล้วล่ะมั้ง? เริ่มทำงานตั้งแต่ 7 ปีก่อน แต่คงเพราะจูรินะเป็นผู้ใหญ่แล้วใช่มั้ย?
จู: ฉันก็คิดงั้นเหมือนกัน อายุยูอาสะซังก็ไม่น้อยแล้ว
นิชิ: นั่นสิเนอะ จูรินะปีหน้าก็ 20 แล้วนี่? ตอนเข้ามาอายุ 11 ปี พอพูดแบบนี้ ยูอาสะซังคงอายุไม่ใช่น้อยๆแล้วล่ะ (หัวเราะ)

1 ปีของนากานิชิ

จู: นี่ๆ 1ปีมานี้นิชิชิเป็นยังไงบ้าง? อยากรู้อ่ะ อยากรู้มากๆ
นิชิ: เล่นละครเวที 3 เรื่องก็เริ่มคุ้นเคยแล้วล่ะ ถึงจะเทียบกับนักแสดงคนอื่นไม่ค่อยได้ แต่ได้เข้าในสภาพแวดล้อมใหม่ ใช้ชีวิตแบบรีบร้อน เพราะงั้น1ปีมานี้รู้สึกเติบโตขึ้นล่ะ เริ่มไปอยู่ที่โตเกีบวคนเดียว ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหม่ ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำสะสมประสบการณ์ไป เรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จด้วยมือตัวเองก็เยอะขึ้น แต่ว่าพอพูดๆไปแล้วก็รู้สึกเหงามากเหมือนกัน
จู: งี้เองสินะ!
นิชิ: ใน 7 ปีนั้นน่ะ มีแต่สิ่งที่ทำร่วมกับคนอื่นๆใช่มั้ยล่ะ? พออยู่ดีๆก็กลายเป็นตัวคนเดียว อยู่คนเดียว เหงามากเลยล่ะ
จู: ฮ่าๆๆๆ เหงาอย่างไม่น่าเชื่อเลยสินะ
นิชิ: เหงามากเลยล่ะ
จู: จบการศึกษาไปแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
นิชิ: ที่ SKE48น่ะสนิทแต่กับเด็กๆที่อายุน้อยกว่าทั้งนั้น ตอนนี้คนที่แสดงละครเวทีด้วยกันส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่กว่าหมดเลย จะสื่อสารยังไงดี ตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ล่ะ
จู: ได้เจอเมมเบอร์เก่าๆบ้างมั้ย?
นิชิ: เจอชาวาโกะ (ฮาตะ ซาวาโกะ) บ่อยเลยล่ะ เดือนนึงอย่างน้อยต้องได้กินข้าวกันครั้งนึง ยังไงก็จะมาดูละครเวทีฉันให้ได้ เพราะว่ามีงานพากษ์วีนัสโปรเจ็กต์ด้วยกัน แล้วก็คงเพราะอยู่เอเจนซี่เดียวกันด้วยแหละ
จู: แล้วเมมเบอร์ปัจจุบันล่ะ
นิชิ: มี (เดกุจิ) อากิจังนัดฉันออกไป ตอนนั้นมาซานะก็อยู่ด้วย (หัวเราะ) ฮาจัง (โอโนะ ฮารุกะ) ก็อยู่
จู: แน่นอนว่าเป็นพวกรุ่น 1 !
นิชิ: หลังจากจบการศึกษาก็เจอมาซานะหลายครั้งแล้ว
จู: ตอนนั้นคุยเรื่อง SKE48 มั่งมั้ย?
นิชิ: แน่นอนว่ามีเรื่องจูรินะ (หัวเราะ) แบบว่า "ช่วงนี้มีเรื่องแบบนี้ล่ะ" ไม่ก็ "ยกเลิกควบทีมแล้วนะ" แล้วก็ประมาณครึ่งเดือนก่อนก็ได้เจออิโซฮาระ (เคียวกะ) ด้วย ได้รู้ว่าเขากำลังจะย้ายบ้าน ได้เอเจนซี่แล้วก็กำลังจะมาทำงานที่โตเกียวล่ะ
จู: สุดยอด! ได้ฟังเรื่องของเมมเบอร์ที่จบการศึกษาไปแล้วมีความสุขจังเลย
นิชิ: ซุสุกิ (ริกะ) ก็ติดต่อมาบ่อยๆ (อินุซากะ) อาซานะก็ด้วย อาซานะน่ะ เชื่อมั่นในจูรินะมากเลยนะ
จู: ไปได้ยินมาจากไหนเนี่ย
นิชิ: จากฉันนี่แหละ (หัวเราะ)
จู: แบบว่าดีใจมากเลยล่ะ
นิชิ: จริงสิ คุวาบาร่า มิซุกิก็เจอบ่อยเหมือนกัน ไปกินข้าวกัน 3 คนกับ (คาโต้) รูมิด้วย
จู: ฉันก็เจอบ่อยนะ
นิชิ: ส่วนมิเอโกะ (เน่ซัง) ถึงจะไม่เจอบ่อยแต่ก็คุยกันบ่อยล่ะ
จู: สายสัมพันธ์ของ SKE48 นี่แข็งแกร่งมากเลยเนอะ โดยเฉพาะรุ่น 1 ที่จบออกไปแล้วยังสนิทกัน ดีใจจัง

เรื่องของรุ่นน้อง

นิชิ: ช่วงนี้ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ พูดถึงจูรินะเลิกควบทีมแล้ว ตอนนั้นก็ส่งไลน์มาด้วยนี่
จู: ส่งไลน์กลุ่มอิคิมูจิ (รุ่น 1 ห้าคนคือ จูรินะ เรนะ มาซานะ นากานิชิ มิเอโกะ) คิดว่าไงมั่ง?
นิชิ: ก็คิดว่า "อ่า งั้นเหรอ"
จู: แค่นั่นอ่ะนะ? (หัวเราะ)
นิชิ: แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกจากปากตัวเอง แต่ถ้ามาปรึกษา ฉันก็ให้คำแนะนำได้ ฉันว่ามันก็ดีกับสุขภาพร่างกายของจูรินะ ไปกลับโตเกียว-นาโกย่าน้อยลง
จู: แม้มันจะไม่ได้น้อยลงเลยอ่ะนะ
นิชิ: ไม่ลดลงเหรอ? (หัวเราะ)
จู: อันที่จริงก็ไม่ได้เลิกควบทีมเพราะเรื่องนี้หรอก
นิชิ: แต่ว่า ฉันพอจะเข้าใจนะว่าจูรินะคิดอะไรถึงขอเลิกควบทีม
จู: พูดเหมือนที่แฟนๆมาพูดกับฉันเลยอ่ะ
นิชิ: ในเวลาระหว่างนี้ฉันก็เปลี่ยนเป็นแฟนไปแล้วล่ะ (หัวเราะ)
จู: นั่นสิเนอะ นิชิชิกับเน่ซังจบการศึกษาไป เรนะจังก็จบการศึกษาไป จากนั้นก็เจอ "Rena Loss" สำหรับ SKE48 แล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตัวเองเลยรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างเพื่อ SKE48 คงไม่ได้แล้ว
นิชิ: เรื่องนี้น่ะ จากในกลุ่มไลน์ฉันก็พอรู้ล่ะ
จู: เพราะงั้นก็เหมือนที่พูดไปเมื่อกี้ คนที่ช่วยฉันออกมาคือรุ่น 7
นิชิ: ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรุ่น 7 เท่าไหร่ มีอะไรดีๆบ้างบอกมาหน่อยสิ
จู: ข้อดีมีเยอะจนพูดลำบากเลยล่ะ (หัวเราะ) อันแรกก็รุ่น 7 น่ะ ได้แสดงโคเอ็ง "Party" ทั้งตอนฝึกซ้อมและซ้อมจริงฉันก็ไปดูหมดเลย รู้สึกคิดถึงความหลังขึ้นมาเลย
นิชิ: เหมือนเห็นพวกเราสมัยก่อนสินะ?
จู: ใช่ นั่งดูพวกเขาซ้อมจริงอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าสุด มองดูเหงื่อที่กระเซ็น ได้ยินฝีเท้าบนเวทีเสียง "ปังๆ" เป็นความรู้สึกแบบนั้นล่ะ
นิชิ: พลังของเด็กวัยรุ่นสินะ
จู: ใช่ ความรู้สึกแบบนี้แหละคือ SKE48 แต่โคเอ็ง "Party" ของ SKE48 กับ AKB48 มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันอยู่ใช่มั้ยล่ะ?
นิชิ: ใช่แล้วล่ะ โคเอ็ง "Party" ของ SKE48 น่ะเต็มไปด้วยความเป็น SKE48 มันใส่รูปแบบของอันนะเซนเซย์ลงไป
จู: ตอนรุ่น 7 แสดงก็มีความรู้สึก AKB48 อยู่ ฉันอยากจะใส่ความรู้สึกของ SKE48 ลงไปก็เลยไปซ้อมด้วย มันมีเพลง "SKE48" ด้วยใช่มั้ยล่ะ ในเนื้อเพลงมีสถานที่ดังๆของ SKE48 เพราะงั้นจะไม่แสดงด้วยความรู้สึกของ SKE48 ไม่ได้ เลยลองบอกว่า "เปลี่ยนตรงนี้หน่อยมั้ย" แม้จะไม่ค่อยรู้อะไรแต่ทำไปโดยคิดว่าถ้าให้คนที่สนับสนุน SKE48 ตั้งแต่เริ่มต้นกลับมาดู จะรู้สึกแบบนั้น
นิชิ: อย่างนี้นี่เอง โกโต้ ราระเป็นยังไงเหรอ?
จู: โมเม้นต์ที่เจอเขาครั้งแรก ก็รู้สึกว่านี่แหละความรู้สึกของ SKE48
นิชิ: เห! หมายความว่าไง?
จู: มีออร่า ดูแล้วให้ความรู้สึกวางใจได้
นิชิ: ฉันไม่เคยคุยกับเขาเลยอ่ะ วันที่ฉันจบการศึกษาก็วันที่เปิดตัวรุ่น7 นี่แหละ
จู: กับรุ่น 7 คนอื่นๆน่ะ ฉันจะแบบว่า "สู้เขา!" "ตรงนี้มันไม่ใช่นะ!" จะมองแบบนั้น แต่กับราระน่ะ ไม่มีอะไรแบบนี้เลย
นิชิ: มีพลังนักสู้ขนาดนั้นเลย
จู: ใช่ เก่งมากเลยล่ะ
นิชิ: แต่ว่าแบบนี้ ก็เท่ากับตั้งด่านไว้สูงมากเลยนะ
จู: งั้นเหรอ ฉันก็คิดว่านี่ก็ทำให้เขาลำบากเหมือนกัน
นิชิ: นี่ก็เหมือนสิ่งที่จูรินะเคยผ่านมาล่ะนะ
จู: อื้ม ฉันว่าเหมือนมากเลย ดูการซ้อมจริงของโชนิจิ (การแสดงวันแรก) จากนั้นก็ได้ดูอีกรอบ ราระในตอนนั้นไม่ร่าเริงเลย เหมือนกระวนกระวาย แล้วบางทียังดูเหงาๆอีก พอโคเอ็งจบลงก็อยู่ส่งคนดู เขาเอาแต่ก้มหน้า ตอนนั้นคงมีแฟนมาพูดอะไรที่ทิ่มแทงล่ะ พอดีกับตอนที่ถูกจัดให้อยู่ตำแหน่งที่ 3 ใน "Mae no Meri" คงมีแฟนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย
นิชิ: แฟนๆแบบนี้ก็มีอยู่ตลอดนั่นแหละ
จู: พอจบ ฉันก็รีบไปหาราระ ถึงเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็มองเห็นสายตาที่เจ็บปวด ฉันก็เลยพูดกับเขาว่า "ฉันรู้นะว่าเธออยากพูดอะไร" ตอนสมัย "Oogoe diamond" ฉันก็เคยมีช่วงที่ลำบากแบบนั้นเหมือนกัน ตอนจับมือก็ถูกข้ามไป ฉันเข้าใจความรู้สึกของราระดีเลยล่ะ ก็คิดว่าต้องไปให้กำลังใจเขา
นิชิ: จูรินะกลายเป็นพี่สาวไปแล้ว (หัวเราะ)
จู: ตอนแรกนึกว่าแฟนๆจะยอมรับได้แล้ว แต่จริงๆไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ว่าจะกับเมมเบอร์หรือแฟนๆ ใครก็ตามที่ยืนอยู่ข้างหน้าต้องมีภูมิคุ้มกันล่ะนะ
นิชิ: แต่ว่าถ้าไม่ก้าวผ่านอุปสรรคพวกนี้ก็ไม่สามารถเปล่งประกายได้นะ อย่างจูรินะที่เป็นจูรินะทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ฉันว่ามันเป็นสเต็ปที่ต้องก้าวไปให้ได้

ว่าด้วยเรื่อง SKE48

นิชิ: จูรินะคิดว่า SKE48 ต่อจากนี้จะทำยังไงต่อไปดี?
จู: ฉันอยากให้เราเป็นเหมือน Chunichi Dragons ถ้าคนที่อยู่ในนาโกย่าก็จะบอกว่า "พูดถึงนาโกย่าก็ ต้อง Chunichi แหละ" เป็นเหตุผลในการสนับสนุนพวกเขาใช่มั้ยล่ะ? แบบนั้นแหละ ช่วงนี้ต้องเอาใจใส่ท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งสตาฟฟ์ซังและเมมเบอร์เองก็คิดแบบนี้กันมากขึ้น ยังมีคนอีกเยอะที่ไม่รู้จัก SKE48 อยากให้คนที่ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลก็อยากจะมาดู SKE48 แต่ถึงอย่างนั้น SKE48 ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้อมูลพวกนี้กลับถูกแพร่ออกไปน้อยมาก ดังนั้นพวกเราก็รู้สึกอยากไปแสดงตามที่ต่างๆ
นิชิ: เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับที่เลิกควบทีมด้วยสินะ
จู: ใช่แล้ว อยากให้คนพูดว่า "ถ้าพูดถึงนาโกย่าก็ต้อง SKE48 สิ"
นิชิ: นี่เป็นเรื่องที่คงอยู่มาตั้งแต่ SKE48 เริ่มในปี 2008 เลยล่ะนะ เมื่อยังไม่อาจบรรลุได้ก็เลยยืดออกไปอีก
จู: ตอนที่เรนะจังยังอยู่ เป็นเซมบัตสึ AKB48 ก็เคยคุยกันว่า "พยายามเพื่อให้คนรู้จักชื่อของ SKE48 มากขึ้น" แต่พักหลังนี่ในเซมบัตสึมี SKE48 แค่ฉันคนเดียว ถ้าที่ตรงนั้นมีแค่ฉันคนเดียว ก็จะถูกมองเป็นเมมเบอร์ AKB48 ไป ความคิดนี้ค้างอยู่ในใจฉันมาตลอด ดังนั้นพอเลิกควบทีมก็เลยยืดอกพูด "SKE48" ได้เต็มปาก
นิชิ: คนที่มาดูแล้วรู้สึกว่าจูรินะใช้ได้นะ ฉันว่าก็จะเข้ามาทำความรู้จัก SKE48 แน่ๆ
จู: ใช่ๆ แต่ว่าถ้ายังควบทีมอยู่ แล้วพูดถึง SKE48 เขาก็จะแบบว่าอะไรน่ะ
นิชิ: แน่นอนว่าเรื่องของ AKB48 ก็ชอบเหมือนกัน
จู: แน่นอน แต่ว่าซิงเกิ้ล AKB48 คราวนี้ เรียวฮะกับราระก็เข้าเซมบัตสึด้วยนะ
นิชิ: อ๊ะ ซิงเกิ้ลที่ 44 สินะ
จู: อื้ม เนี่ยนะใจมันพองโตขึ้นมาเลยล่ะ ทั้งๆที่งานเลือกตั้งปีที่แล้ว SKE48 เป็นวงอันดับหนึ่ง แต่ว่าหลังจากซิงเกิ้ล "Halloween Night" แล้ว ซาเอะจัง อายะจัง ชูริแล้วก็คาโอตันกลับไม่ติดเซมบัตสึ เจ็บใจชะมัดเลย ทั้งๆที่ตั้งตารอ อยากให้ SKE48 เป็นที่รู้จักมากกว่านี้
นิชิ: เรื่องนั้นมันยากนะ เพราะกำลังของเมมเบอร์คนเดียวมันทำอะไรไม่ได้
จู: นั่นสินะ เรื่องนี้จะโทษสตาฟฟ์ก็ไม่ได้
นิชิ: จะสร้างโอกาสให้ SKE48 เป็นที่รู้จักมากขึ้นยังไงสินะ แต่ว่าหลังๆนี่จูรินะก็เริ่มเล่นทวิตเตอร์แล้วนี่
จู: ใช่ เริ่มตอนวันเกิดครบ 19 ปี
นิชิ: ฉันว่านี่แหละจะช่วยให้คนนอกรู้จัก SKE48 มากขึ้น
จู: แต่ว่า ฉันไม่ค่อยถนัดเล่นอินเตอร์เน็ตเท่าไหร่
นิชิ: แหงล่ะ (หัวเราะ) แต่ว่านะ คามาตะ (นัตสึกิ) ตอนนี้กำลังบุกโลกโชกิ (หมากรุกญี่ปุ่น) อยู่ ได้รับปฏิทินจากสมาคมโชกิด้วย แล้วก็โพสต์ลงทวิตเตอร์ จูรินะก็ลงรูปเซลฟี่ตัวเองเยอะๆสิ
จู: ได้เหรอแบบนั้น?
นิชิ: มันต้องได้สิ ก็ได้เห็นจูรินะที่น่ารัก ทวิตเตอร์มีความสามารถเผยแพร่มากเลยนะ ถ้าเมมเบอร์แสดงให้เห็นว่าทำอะไรได้ เรื่องพวกนี้ก็จะกระจายออกไปได้มากขึ้น แต่ว่าจูรินะชอบฝืนทำงานเยอะๆ ก็ทำ
ให้มันพอประมาณนะ ถ้าเกิดล้มป่วยไป มันจะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกนะ
จู: ค่า เพื่อการนั้น อยากให้เมมเบอร์พูดว่า "ไว้ใจเด็กคนนี้ได้เลย" กันเยอะๆนะ
นิชิ: จนถึงตอนนี้ แม้จะมีป้ายแบบว่า "รุ่นใหม่" อยู่ แต่ฉันว่าต้องไม่จำกัดอยู่แค่นี้ ฉันคิดว่าทุกคนต้องรับผิดชอบด้วยกัน
จู: อืม ตอนนี้รู้สึกว่าทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากเลยล่ะ
นิชิ: ฉันว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าในใจแต่ละคนมีความคิดว่า "ฉันจะฉุดดึงไปเอง" แบบนั้นดีมากเลยใช่มั้ยล่ะ? จูรินะเองก็ลังเลอยู่ว่า "จะให้ใครมาช่วยดึง SKE48 ดีน้า" แบบนี้ดีที่สุดเลย ถ้าเป็น SKE48 ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นเซ็นเตอร์ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจแบบนั้น มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ แต่ว่าก็อาจจะมีแบบว่าคาดหวังกับใครไว้มากเกินไป จนโดนบีบเละไปเหมือนกัน
จู: จริงด้วยเนอะ
นิชิ: อย่างตารางงานของจูรินะเต็มเอี๊ยดขนาดนั้น แล้วเกิดป่วยขึ้นมา ไม่มีใครมาเป็นเซ็นเตอร์แทนสถานการณ์ยุ่งยากแบบนั้น หรืออย่างเช่น กราเวียร์ต้องเป็นเด็กคนนี้เท่านั้นอะไรแบบนั้น
จู: ฉันน่ะ อยากให้ SKE48 มีคามิ 7 บ้างเหมือนกัน
นิชิ: เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นของมันเองไม่ใช่เหรอ
จู: เรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นหรอกนะ ฉันคิดว่าการออกซิงเกิ้ลที่มีคนน้อยๆก็เป็นวิธีหนึ่ง
นิชิ: "Gomenne Summer" ก็มี 7 คนเนอะ ฉันว่าบาลานซ์ดีมากเลยล่ะ
จู: ซิงเกิ้ลที่ออกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วก็มี 7 คนนะ
นิชิ: Love Crescendo สินะ ฉันว่ามันเป็นความท้าทายมากเลยล่ะ เพราะว่าไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
จู: ซิงเกิ้ลตอนเดือนมีนาคม "Chicken LINE" ฉันกับเรียวฮะ แล้วก็ราระยืนอยู่แถวหน้า แม้จะเป็นเรื่องที่ฉันกำหนดไม่ได้ แต่ฉันคิดว่าอิมเมจแบบว่า "นี่แหละ SKE48" ก็ดีเหมือนกัน แม้จะรู้สึกอยากให้เมมเบอร์หลายคนได้มายืนแถวหน้า แต่ถ้าเวลาคนบอกว่า "พูดถึง SKE48 ก็ต้องคนนี้ล่ะนะ" แล้วมีหน้าคนๆนั้นลอยออกมา ถ้าหน้าเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นได้ SKE48 ก็จะแข็งแกร่งขึ้น
นิชิ: นั่นสินะ จะให้คนจำได้ก่อนอื่นต้องมีรายการประจำฉายทั่วประเทศสินะ
จู: ใช่แล้วล่ะ!
นิชิ: นี่แหละสำคัญที่สุด! ...ถึงจะพูดเข้าข้างไปหน่อยก็เถอะ(หัวเราะ) แต่เพื่อใช้ SKE48 ให้เป็นประโยชน์ต้องตั้งกลุ่มพวก MC เนอะ

ความรู้สึกของจูรินะ

นิชิ: ดูจากที่คุยกับจูรินะมาถึงตรงนี้แล้ว เรื่องความรู้สึกที่อยากให้ SKE48 ดีขึ้นโผล่มาตลอดเลย ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ฉันคิดว่าความรักที่จูรินะมีต่อ SKE48 แข็งแกร่งที่สุดเลยล่ะ
จู: ก็คิดตลอดเลยว่าจะทำยังไงให้ SKE48 เผยแพร่ออกไปได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ฉันกังวลตลอดเลย
นิชิ: ถ้าให้ฉันพูดล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องที่จูรินะจะแบกรับมากจนเกินไป ก็ยังมีเรื่องที่ลำพังแค่จูรินะทำไม่ได้อยู่ไม่ใช่เหรอ? ทั้งหมดนั่นกลายเป็นว่า "ฉันจะต้องทำอะไรซักอย่าง"
จู: อืม เรื่องนี้แหละที่ทำไม่ได้ (หัวเราะ)
นิชิ: เรื่องพวกนั้นปล่อยให้ยูอาสะซังจัดการก็พอแล้ว ให้สตาฟฟ์ซังที่รับผิดชอบจัดการไป สตาฟฟ์ซังที่ชอบ SKE48 ก็มีอยู่เยอะนะ ตอนนี้อาจมีเรื่องที่ยังทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าจูรินะอยากจะทำล่ะก็ ก็ไปบอกกับสตาฟฟ์ซัง "เด็กคนนี้มีจุดเด่นแบบนี้นะ" ให้รู้แบบนี้ไม่ได้เหรอ? ให้เขาได้เห็นข้อดีของคนอื่นๆ
จู: อื้ม งั้นสินะ
นิชิ: ถ้าทำแบบนั้น ก็จะกลายเป็นว่า "จูรินะของพวกเราพูดไว้แบบนี้ล่ะนะ" (หัวเราะ)
จู: ถ้าฉันพูดจะมีแรงโน้มน้าวได้มั้ยน้า?
นิชิ: ก็คือ เมเนเจอร์ซังน่ะจะมองไม่เห็นเมมเบอร์ตอนก่อนจะเปลี่ยนชุด เมมเบอร์เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็จะเกร็งจนแสดงตัวเองออกมาได้ไม่ดี ดังนั้นถ้าจูรินะสามารถบอกได้ว่า "เด็กคนนั้นเล่าเรื่องตลกเก่งมากเลยนะ" อะไรแบบนั้น ไม่แน่ว่าเวลาติดต่อกับนักแสดงตลกเขาอาจจะเห็นจุดนี้ก็ได้ ลองคุยกับคนหลายๆคนดูแล้วรึยัง อย่างเช่น คุยกับ BUBKA ซังว่า "เด็กคนนั้นน่ะหุ่นดีมากเลยนะ" ไม่ก็ "เด็กคนนั้นร้อนแรงสุดๆไปเลย เรียกไปด้วยเถอะค่ะ" ประมาณนั้น อ้อ เมื่อก่อนจูรินะยังเคยบอก BUBKA ซังว่าอยากให้ถ่ายฉันในชุดว่ายน้ำด้วย ถึงจะไม่ได้ถ่ายจริงๆก็เถอะ แต่เมื่อก่อนก็มีเรื่องแบบนี้ (หัวเราะ)
จู: ฮุๆๆๆ แต่ว่าฉันเองยังไม่ค่อยมั่นใจในสายตาตัวเองเท่าไหร่
นิชิ: ไม่เป็นไรนี่ มีฉันประทับตารับรองให้อยู่ มั่นใจในตัวเองหน่อย
จู: งั้นเหรอ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นจะดีกว่าใช่มั้ย
นิชิ: ใช่ๆ
จู: งั้นเพื่อการนี้ฉันต้องไปทำความรู้จักกับเมมเบอร์ให้มากขึ้นละ อยากเจอกับเมมเบอร์บ่อยขึ้น อยากคุยเรื่องงานเกี่ยวกับ SKE48 ให้มากขึ้น
นิชิ: เรื่องนี้ฉันคงช่วยไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) แต่ว่า ซาเอะซังก็จบการศึกษาไปแล้วใช่มั้ยล่ะ SKE48 ก็ก้าวเข้าสู่บทต่อไปแล้วล่ะมั้ง? ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องตั้งใจคิดให้ดี แม้ว่ามันจะยังไม่เห็นผลก็ตาม
จู: นั่นสิเนอะ SKE48 ในตอนนี้น่ะ มองเห็นสัญญาณที่ดีล่ะ ในคอนเสิร์ตจบการศึกษาของซาเอะจังฉันก็พูดไปว่า "SKE48 ตอนนี้กำลังวิกฤต" แต่ว่าตอนนี้กลับไม่มีความรู้สึกว่ามีตรงไหนแย่เลย นั่นเพราะว่าพวกรุ่นน้องกระตือรือร้นกันมาก ทุกคนต่างก็อยากทำอะไรซักอย่างเพื่อ SKE48 ดังนั้นฉันว่าอนาคตที่สดใสรอ SKE48 อยู่ล่ะ
นิชิ: งั้นก็ดีแล้วล่ะนะ
จู: เรื่องนึงที่ไม่ต้องสงสัยเลยคือ เวลาที่เมมเบอร์จบการศึกษา แฟนๆก็ไม่ได้หายไปไหน อย่างในคอนเสิร์ตตอนที่พูดว่า "SKE48 ตอนนี้กำลังวิกฤต" คนที่อยู่ตรงนั้นก็ตอบฉันกลับมาว่า "SKE48 ไม่เป็นไรหรอก" "พยายามไปด้วยกันนะ" ได้ยินแล้วดีใจจริงๆ SKE48 น่ะขับเคลื่อนด้วยแฟนๆ ทั้งเมมเบอร์ทั้งแฟนๆทุกคน รวมถึงสตาฟฟ์ซังจับมือกันเป็นวงไปด้วยกัน แม้จะมีเมมเบอร์จบการศึกษาไป ความร้อนแรงก็ไม่น้อยลง เพราะงั้นเลยตั้งตารองานเลือกตั้งที่จะถึงนี้
นิชิ: งานเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้วสินะ สู้เขา!
จู: พอกลับมาไม่ควบทีมแล้ว ก็เผชิญหน้ากับความกังวลว่าตัวเองจะทำยังไงถึงจะดี เพราะงั้นวันนี้ได้คุยกับนิชิชิ รู้สึกว่ามุมมองของตัวเองเปิดกว้างขึ้นอีก อยากจะไปข้างหน้าอีก!
นิชิ: โอ๊ส! ดีมาก
จู: ก็มีส่วนที่เศร้าอยู่บ้างนิดนึงล่ะ แต่ว่าฉันเป็นพวกที่ถ้ามีเรื่องไหนที่ฉันทำได้ด้วยตัวเองก็จะลองทำดู ไม่มีเวลามาหยุดอยู่เฉยๆหรอก
นิชิ: ฉันพูดไปกี่รอบแล้ว ว่าอย่าฝืนตัวเอง (หัวเราะ) กินเยอะๆ พักผ่อนเยอะๆ อ้อนคนที่อ้อนได้ สุขภาพต้องมาก่อน!
จู: เหมือนคุณแม่เลยอ่ะ (หัวเราะ)
นิชิ: เวลาที่เจอเรื่องลำบาก ก็มาคุยในกลุ่มไลน์อิคิมูจิได้นะ ตอนนั้นน่ะ มิเอโกะคงเป็นคนแรกที่ตอบ (หัวเราะ)
จู: นิชิชิตอบช้าตลอดเลย
นิชิ: ใช่ๆ รอให้ฉันตอบก็เปลี่ยนเรื่องคุยกันไปแล้ว...เรื่องนี้น่ะช่างมันเถอะ! ฉันน่ะอยากให้จูรินะไร้เดียงสาตลอดไปเลย
จู: แต่ว่า ฉันอายุ 19 แล้วนะ?
นิชิ: พูดอะไรของเธอ คุวาบาระ มิซุกิจะ 25 อยู่แล้วยังไร้เดียวสาอยู่เลย! ตอนนี้ก็ยังเรียก ".....ยากิ!" อยู่ (หัวเราะ) เพราะงั้นจูรินะก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆแหละดีแล้ว
จู: อื้ม เข้าใจแล้ว! วันนี้ขอบคุณมากนะ!


blogged by 91

[91][bsummary]

Translation

[Translation][bsummary]

Subtitle

[subtitle][bsummary]

Update

[SKEUpdate][bsummary]