ทางเดียวเท่านั้นที่จะก้าวข้ามตัวเองในอดีตไปได้
The Final Peace Countdown
ในระหว่างที่คิซากิ
ยูริอะประกาศเรื่องจบการศึกษาของตัวเอง ก็ได้พูดไว้ว่า “ตอนนั้นคือจุดสูงสุด”
เรื่องนี้คนที่เข้าใจเธอที่สุดอย่าง สุดะ
อาคาริคิดอย่างไร?
แล้วความตั้งใจที่แท้จริงของเจ้าตัวคืออะไร?
อยากทิ้งความทรงจำเป็นความทรงจำไว้แบบนั้นหรืออยากจะก้าวข้ามมันกันแน่
หลังจากประกาศครั้งใหญ่ผ่านมาเพียง 9 ชม.
เธอก็อยู่ที่นี่
(สุดะ) แม้จะเคารพการจบการศึกษาของยูริอะ
แต่จากนี้ไปเวลาฉันร้องไห้ใครจะเป็นคนมาคอยปลอบล่ะ?
(ยูริอะ) คนที่ทุ่มเทมุ่งมั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือดาสุ
เรื่องนี้น่ะฉันมั่นใจ!
ช่วงเวลา 1 ปีก่อนตัดสินใจ
- คิซากิซังประกาศจบการศึกษาจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งผ่านไป
9 ชม.เอง
ยูริอะ:
ไม่ได้นอนเลยค่ะ (หัวเราะ)
สุดะ: ก็เธอเป็นพวกชอบทำงานหนักไง!
ยูริอะ: ที่ต้องย้ายวันสัมภาษณ์ ขอโทษด้วยนะคะ
- พอเสนอไปว่าอยากจะสัมภาษณ์ทั้ง 2 คน
ก็ได้รับแจ้งว่า “อยากจะให้รอจนถึงวันที่ 12 เดือน 4” น่ะ
ยูริอะ: ชัดเลย!
- จากนั้น ก็มีประกาศว่า All Night NIPPON วันที่ 12
คิซากิซังมาจัดรายการ ก็คิดทันทีเลยว่า “อย่าบอกนะว่า...”
สุดะ: เดาถูกเป๊ะเลย
แต่ว่าเนื้อหาที่จะคุยกันก่อนประกาศกับหลังประกาศคงจะไม่เหมือนกันสินะคะ
ยูริอะ: ใช่แล้ว
เพราะงั้นเลยรู้สึกว่าถ้าเป็นอีกวันหลังจากประกาศก็คงจะดีมาก
- ขอบคุณมากครับ!
ยูริอะ: ถ้าให้สัมภาษณ์ด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในใจก็คงไม่ดีใช่มั้ยล่ะคะ
ดังนั้นเลยคิดว่าเป็นหลังจากประกาศจะดีกว่า
- แล้วก็เนื้อหาที่สัมภาษณ์วันนี้จะลงนิตยสารเฉพาะของ SKE48 ด้วยน่ะครับ
ยูริอะ: งั้นเหรอ?
งั้นวันนี้ก็มาคุยเรื่อง SKE48 กันเถอะค่ะ!
- ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ
ที่จะสัมภาษณ์คุณ 2 คนนี่ บก.กับนักเขียนได้บรีฟกันมาเรียบร้อยแล้วครับ แต่ในเมื่อมันกลายเป็นสัมภาษณ์หลังจากคิซากิซังประกาศจบการศึกษา
เราก็คิดว่านี่คงจะเป็นการสัมภาษณ์ที่วุ่นวายมากแน่ๆ
สุดะ: ฮุๆๆๆ
- สรุปว่าเมมเบอร์ที่อยู่ตรงนั้นก็เศร้าจนร้องไห้เลยสินะครับ
พอนึกภาพแบบนั้น น้ำตาก็ไหลออกมาเองเหมือนกัน เป็นพวกผู้ใหญ่ที่นั่งกินราเม็งไต้หวันกับเทบาซากิ(ปีกไก่ทอด)
แล้วก็ร้องไห้อยู่ที่ร้านมิเซ็งในนาโกย่า (หัวเราะ)
ยูริอะ: จริงเหรอคะ?
(ขำ)
- อยากหัวเราะก็เอาเลย!
ยูริอะ: ไม่ใช่นะคะ
ฉันแค่คิดว่านี่แหละเป็นสิ่งที่สุดยอดของ SKE48
ที่ทำให้ทุกคนคิดแบบนี้ได้ เรื่องนี้ต่างหาก
- แม้ว่า ณ ตอนนั้น
จะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ตาม
สุดะ: เพราะความรักไงล่ะ
(หัวเราะ)
ยูริอะ: อื้ม
รู้สึกได้ถึงความรักเลยล่ะ
- “ถ้าพวกเราไม่ทำ แล้วใครจะทำล่ะ!” “เหมือนได้ดูตอนสุดท้ายของละครที่ฉายมา 7 ปีครึ่งเลย”
ถ้าคิดแบบนี้ก็เข้าใจได้ล่ะนะว่าทำไมถึงร้องไห้ (หัวเราะ)
สุดะ: พูดแบบนี้
ชอบจังเลยค่ะ อุฮุๆ
ยูริอะ:
เพราะแบบนี้ พวกเราถึงพยายามมาได้ ก็เป็นวงที่ตั้งมาด้วยความรักนี่นา
- ถ้ามาคิดดูดีๆตอนสุดท้ายคือเรื่องหลังจากนี้ต่างหาก
เราเกริ่นนำกันมายาวเกินแล้ว อยากให้คิซากิซังพูดถึงเบื้องหลังความรู้สึกต่อการจบการศึกษาหน่อยครับ
ยูริอะ:
ต้องย้อนกลับไปถึงตอน “Aozora Kataomoi” เลยค่ะ
ตอนที่ได้เป็นเซมบัตสึพร้อมกับยุกโกะ (คิโนชิตะ ยูกิโกะ) และโอกิจัง (โอกิโสะ ชิโอริ) นั่นเป็นครั้งแรกที่มีความคิดว่าไม่อยากทำแล้ว
ในระหว่าง 7 ปีครึ่งหลังจากนั้นก็คิดว่า “เลิกดีกว่ามั้ง” “ไม่อ่ะ พยายามต่อเถอะ”
กลับไปกลับมาอย่างนี้ตลอด ทั้งคุยกับตัวเองในใจ ทั้งเคยคุยกับคุณพ่อคุณแม่
ในขณะที่เป็นแบบนั้น เมื่อ 3 ปีก่อนก็ได้มาโตเกียว ได้เป็นรองกัปตันทีม 4
จากนั้นก็ได้เป็นกัปตันทีม B น่าจะเป็นช่วงก่อนจะได้เป็นกัปตันไม่นานที่ได้ปรึกษากับอากิโมโตะเซนเซย์เรื่องจบการศึกษา
- งั้นเหรอครับ!
ยูริอะ: แต่ได้รับตอบกลับมาว่า
“ลองพยายามต่ออีกซักปีนึงเถอะ” ในระหว่างปีนึงจากนั้นก็ได้รับงานแสดง พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว
แต่ว่าก่อนถึงวันเกิด (วันที่ 11 กุมภาพันธ์) ก็คิดว่า “นี่ก็ 21 แล้ว
ถ้าจะอยากจะเริ่มงานแสดงละก็ มันจะไม่มีเวลาแล้วนะ” ในรายการวิทยุก็ได้พูดถึงความรู้สึกในใจของตัวเองค่ะว่า
“ไอดอลน่ะเป็นมาจนอิ่มแล้วล่ะ” น่าจะเป็นช่วงนั้นแหละค่ะที่เริ่มคุยเรื่องจบการศึกษาอย่างจริงจัง
- เรื่องนี้เคยบอกกับสุดะซังมั้ยครับ?
สุดะ: เคยคุยกันค่ะ
- คุณรู้สึกยังไงตอนที่ได้ยินเธอบอกอย่างนั้น?
สุดะ: รู้มาหลายปีแล้วล่ะค่ะว่าเธอไม่ใช่พวกทำอะไรไม่คิด
เราก็คุยกันว่าจะก้าวออกไปดีมั้ยอยู่บ่อยๆ
แล้วก็รู้ด้วยว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำอะไรครึ่งๆกลางๆอยู่แล้ว
เพราะงั้นฉันไม่กังวลเลยว่าถ้าจบการศึกษาไปเธอจะเป็นยังไง อย่างเดียวที่ฉันคิดคือ
ต่อไปเวลาฉันร้องไห้ใครจะมาคอยปลอบ
ยูริอะ:
กังวลเรื่องนี้เองหรอกเหรอ...(หัวเราะ)
สุดะ: ถึงจะกังวลแค่เรื่องนี้
แต่ยังไงก็เคารพการตัดสินใจของยูริอะล่ะ
ยูริอะ: เราทั้งคู่ก็อายุเกิน
20 กันแล้ว ไปดื่มกันได้แล้ว เรื่องที่คุยกันก็เปลี่ยนไป แม้ฉันจะอ่อนกว่า 4
ปี...แต่ดาสุน่ะดูโตขึ้นจริงๆนะ
สุดะ: นี่!! (หัวเราะ)
ยูริอะ: วิธีการคิดของเธอน่ะเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เพราะงั้นฉันว่าถึงฉันไม่อยู่ก็คงไม่เป็นไร ทั้งๆที่ตอนที่ไปโตเกียวใหม่ๆ
ผู้จัดการSKE48จะชอบโทรมาบ่อยๆว่า “ตอนนี้สภาพสุดะแย่มากเลย ช่วยคุยกับเธอหน่อยได้มั้ย?”
แต่หลังๆนี่ไม่มีเรื่องแบบนั้นแล้ว ฉันคิดว่าตอนนี้ก็น่าจะยังมีร้องไห้อยู่แต่คงไม่ได้ร้องฟูมฟายแบบเมื่อก่อน
สุดะ: อื้ม
- จากมุมมองของสุดะซัง หลังจากคิซากิซังไปโตเกียวแล้วมีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้างครับ?
ยูริอะ: มีกลิ่นอายคนโตเกียว
อะไรงี้?
สุดะ: ที่คิดอย่างนั้นก็คือตอนที่เห็นพูดว่า
“อาหารเช้า 5000 เยน” ใน AKBINGO! เท่านั้นแหละ (หัวเราะ) มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นทุกวันอยู่แล้ว ก็คิดว่าที่พูดแบบนั้นก็เพื่อจะให้ดูน่าตื่นเต้น
แล้วก็ดูเหมาะดี อะไรประมาณนั้น
ยูริอะ: ใช่ๆ
ไม่ได้วางแผนไว้เลย
- คือไม่ได้วางแผนว่า “ถ้าพูดอย่างนั้นแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้”
แล้วค่อยพูดออกมาสินะ
สุดะ:
ก็ยังห่วงอยู่ว่าเขาจะฝืนตัวเองหรือเปล่า แต่ว่าพอได้เห็นเขาหาที่ทางของตัวเองเจอที่โตเกียว
และได้สนิทกับเมมเบอร์คนอื่น ฉันก็สบายใจค่ะ
- ได้บอกเมมเบอร์ล่วงหน้าไปกี่คนครับว่าจะจบการศึกษา?
ยูริอะ: ถ้าไม่บอกล่วงหน้าก็โหดร้ายไปหน่อย
จะบอกหรือไม่บอก มันพูดยากค่ะ...ตอนเป็นกัปตันทีม B ฉันรู้สึกไม่สบายใจมากที่เมมเบอร์ที่อยู่ทีมเดียวกันจะจบการศึกษาแล้วไม่ได้มาคุยกับฉันเลย
ถึงแม้มันจะเป็นความผิดฉันเองก็เถอะ สำหรับฉันแล้ว พวกเรื่องแย่ๆที่เคยโดนคนอื่นทำฉันจะไม่ไปทำแบบนั้นกับคนอื่นเด็ดขาด
แรกสุดฉันบอกดาสุกับอิริยามะ อันนะจังค่ะ เพราะเคยพูดเรื่องจบการศึกษากับเธอสองคนมาตลอด
พอได้วันที่แน่นอนก็บอกกับสองคนนี้ก่อนเลย แล้วก็รีบบอกโยโกยาม่า ยุยจัง แล้วก็คนที่อยากจะบอกด้วยตัวเองคือ(ทาคาฮาชิ)
จูริและเรนัจจิ (คาโต้ เรนะ) ค่ะ ส่วนเมมเบอร์รุ่นเดียวกันไปบอกด้วยตัวเองไม่ได้ก็เลยบอกไปทาง
LINE น่ะค่ะ
- บอกกับสุดะซังด้วยตัวเองเลยเหรอ?
ยูริอะ: หลังจากได้วันที่แน่นอน
วันรุ่นขึ้นก็ได้ทำงานที่เดียวกันค่ะ บอกไปประมาณว่า “อรุณสวัสดิ์ เป็นวันที่ 12 แหละ”
สุดะ:
อยู่ดีๆก็มาบอกฉันอย่างนี้ ก็เลยงงว่า “อะไรอ่ะ? อะไรอ่ะ?”
- ได้ยินว่าเป็นรายการวิทยุสดด้วยใช่มั้ยครับ
สุดะ: ใช่ค่ะ
ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย อยู่ๆนึกจะพูดก็พูด พอเปิดเพลง “10 nen sakura” ก็เลยร้องไห้ออกมา
ยูริอะ: ก็อยากให้ร้องไง
(หัวเราะ) แล้วก็ได้คุยกับมิเนกิชิ มี่จัง (มิเนกิชิ มินามิ) ด้วย ตอนสมัยอยู่ทีม
4 เธอช่วยไว้เยอะ ส่วนโอกิจังที่อยู่รุ่นเดียวกันก็ติดต่อกันตลอดเลยได้คุยกันว่า “จบการศึกษาแล้ว
เราไปเที่ยวเกียวโตฉลองกันเถอะ” เพราะที่ผ่านมาไม่เคยว่างตรงกันเลยไม่ได้ไปซักทีค่ะ
- หลังจากประกาศแล้ว เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยใช่มั้ย?
ยูริอะ:
ก็รู้สึกเปลี่ยนไปหมดเลยค่ะ แต่เมื่อวานก็มีงานตั้งแต่เช้าพอดึกก็เริ่มเบลอๆแล้ว
จำไม่ได้แล้วค่ะว่าพูดอะไรไปบ้าง พอได้อ่านข่าวในเน็ตถึงได้รู้ว่า
“ฉันพูดไปอย่างนั้นเองหรอ?”
- แต่อย่างน้อย ก็น่าจะคิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไรใช่มั้ยล่ะครับ?
ยูริอะ: ก่อนเริ่มก็มีจดนั่นนี่ไว้ว่าจะพูดเรื่องอะไร
แต่พอพูดไปก็รู้สึกแปลกๆแบบว่านี่ตัวฉันเองรึเปล่านะหรือไม่ใช่
สุดะ:
ไม่ตื่นเต้นหรอ?
ยูริอะ:
โคตรตื่นเต้นเลยล่ะ! 3
วันก่อนหน้านั้นเลยฝันแปลกๆน่ากลัวๆติดกันตั้ง 3 เรื่อง
สุดะ: ตั้ง 3 เรื่องแน่ะ
(หัวเราะ)
ยูริอะ: อันแรกก็ฝันว่าผีหลอก
อันที่สองก็ฝันว่าตัวเองนอนอยู่แล้วก็มีใครไม่รู้เอาสาหร่ายคอมบุมายัดปาก
ตื่นขึ้นมาเพราะหายใจไม่ออก
- ดูท่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีคนฝันอย่างนี้นะครับ
สาหร่ายคอมบุเนี่ย (หัวเราะ)
ยูริอะ:
ไปเสิร์ชว่า “สาหร่ายคอมบุ เต็มปาก ทำนายฝัน” ก็ไม่มีอะไรออกมา
แล้วจากนั้นก็ฝันว่าได้ไปแสดงหนังของผู้กำกับที่มีบุญคุณคนนึง แต่ว่าฉันทำบทหายแล้วก็ไปซ้อมทั้งอย่างงั้น
พอพูดบทไปมั่วๆผู้กำกับก็โกรธ ตื่นมาเหงื่อเต็มหลังเลยค่ะ
- นี่ลองเสิร์ชดู เขาอธิบายสาหร่ายคอมบุว่า “เรื่องที่อยากทำถูกกดไว้
คงมีความเครียดอยู่ไม่น้อย”
สุดะ: ถูกเผงเลย
(หัวเราะ) ก็สิ่งที่ยูริอะอยากทำคืองานแสดงนี่ มีแบบไอดอลด้วยล่ะ คือไม่ว่ายังไงถ้าเป็นไอดอลก็ต้องเคยฝันถึงแน่ๆ
- ฝันแบบไหนครับ?
สุดะ: ฝันแบบว่าไม่รู้ทั้งท่าเต้นทั้งเนื้อเพลงก็ต้องขึ้นไปยืนบนเวทีแล้ว
ยูริอะ: เคยสิ! น่ากลัวมากเลยเนอะ ฝันถึงจิตใต้สำนึกตัวเองโดยตรงเลยนี่มันฉันชัดๆ
ความอิจฉาโดยบริสุทธิ์ใจ
- คิซากิซังย้ายมาโตเกียวก็ 3 ปีกว่าแล้ว ใน 3
ปีนี้ระยะห่างของทั้งสองคนเปลี่ยนไปบ้างมั้ย?
สุดะ:
มันกลับใกล้ขึ้นเนอะ?
ยูริอะ: ใกล้ขึ้นนะ
พอต้องแยกกันกลับใส่ใจกันมากขึ้น ถึงจะไม่ใช่แฟนกันก็เถอะ (หัวเราะ)
สุดะ: ตั้งแต่ “Sansei
Kawaii” (ปี 2013 เดือน 11) ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น
อาจเป็นเพราะว่าตอนนั้นเมมเบอร์รุ่นเดียวกันเหลือน้อยลงด้วย ไปพักโรงงแรมก็อยู่ห้องเดียวกันตลอด
แต่ในตอนนั้นเองยูริอะก็ต้องไปโตเกียว พอแยกกัน ก็เริ่มคิดว่า
“ยูริอะจะสบายดีมั้ยนะ” “ไปโตเกียวคราวหน้าจะได้เจอกันมั้ยนะ” มากขึ้นค่ะ
- เหมือนรักทางไกลเลยนะครับ
สุดะ: นั่นสินะคะ
เรารักกันมากเลย
ยูริอะ: เนอะ
- พอไปโตเกียวแล้วยูริอะก็ได้เป็นเซมบัตสึ AKB48 ได้แสดงละครทีวี ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างจริงจัง
สุดะซังคิดยังไงพอเห็นเธอแบบนั้นครับ?
สุดะ:
ไม่ได้อิจฉาอะไรค่ะ แม้จะเคยมีช่วงที่อิจฉาอยู่ก็ตาม
ยูริอะ:
ฉันก็เคยมีนะ
สุดะ: นั่นสินะ
ฉันเข้าใจนะ
ยูริอะ: ตอนช่วงเริ่มแรกน่ะ
ช่วงแรกๆ
สุดะ: ใช่
เพราะรู้ว่าช่วงแรกน่ะเคยโดนอิจฉา พอถึงตอนที่ฉันเริ่มอิจฉายูริอะก็เลยเข้าใจว่า
“เมื่อก่อนยูริอะรู้สึกแบบนี้นี่เอง” เพราะงั้นเลยคิดว่าความรู้สึกอิจฉาไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ยูริอะ:
จะว่ายังไงดีนะ เป็น “ความอิจฉาโดยบริสุทธิ์ใจ” มั้ง
- ไม่เคยทะเลาะกันเลย
ยูริอะ: ใช่ค่ะ
รู้สึกว่า “ถ้าเป็นฉันคงทำไม่ได้ขนาดนั้นหรอก” หลังจากได้เลื่อนขึ้นทีม S ยุกโกะกับดาสุเข้ากับทีมไม่ค่อยได้ พอเห็นพวกรุ่นพี่เอ็นดูฉัน ดาสุก็คงจะคิดอะไรมั่งล่ะ
สุดะ: แบบว่า “ทำยังไงถึงสนิทได้อ่ะ”
ยูริอะ: ใช่
ตั้งแต่ตอนนั้นแหละมั้ง ในขณะที่เราสนิทกันก็มีความรู้สึก “อิจฉาอย่างบริสุทธิ์ใจ”
สุดะ: อื้ม
เป็นอย่างนั้นแหละ
- จากนั้นก็โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน
ยูริอะ:
ก็เลยไม่อิจฉากันแล้ว
สุดะ: ใช่!
ยูริอะ:
ช่วงนี้ดาสุก็ได้ไปออกรายการ “Tsukai TV Sukatto Japan”
ด้วยไม่ใช่เหรอ ได้ดูแล้วก็รู้สึกอิจฉา แต่ว่าไม่ใช่อิจฉาริษยานะ พอคิดถึงตอนงานเลือกตั้ง
AKB48 ที่ดาสุไม่ทันจะพูดอะไรก็ร้องไห้แล้วฉันก็ทิ้งเรื่องของตัวเองไปปลอบเลย
ฉันก็รู้สึกดีใจที่เธอเติบโตขึ้นจากใจจริงเลยล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นได้ไปออก Sukatto
Japan นะ ฉันอาจจะแบบ “เห้ยๆ ให้มันน้อยๆหน่อย!”
- บทนางร้ายที่ยั่วโมโหคนดูแบบนั้นคงมีแค่สุดะซังเท่านั้นที่ทำได้
สุดะ: เล่นแบบปล่อยตัวตามสบายมากเลยค่ะ
(หัวเราะ)
- ผลัดกันวิ่งไล่ตามกันมา
7 ปีครึ่งแล้ว คงไม่อาจอธิบายความสัมพันธ์ด้วยคำว่าอิจฉาเพียงคำเดียวแล้วล่ะ
ยูริอะ:
วิ่งแค่รอบเดียวน่ะยังดูไม่ออก ต้อง 3 รอบถึงจะเห็นชัด
สุดะ:
เพราะเราต่างก็รู้เส้นทางข้างหน้าของตัวเอง
ดังนั้นเมื่อเห็นอีกคนเดินหน้าไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเบาใจค่ะ
- การได้พบกับคนที่มีสายสัมพันธ์แบบนี้ช่างเป็นขีวิตที่ดีจริงๆ
สุดะ: ใช่ค่ะ
ฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ตลอดชีวิต
ยูริอะ: รักษาไว้ดีๆนะ
(หัวเราะ)
- แล้วกับอิริยามะซังก็เป็นความสัมพันธ์ที่ต่างออกไป
ยูริอะ: นั่นสินะคะ
อันนะจังก็เหมือนกัน โอกิจังก็ด้วย ทุกคนมีสายสัมพันธ์ที่ต่างกันไป
- เพราะงั้น ตอนที่สุดะซังได้อันดับ 7
ในงานเลือกตั้งก็ยินดีกับเธอจากใจ
ยูริอะ:
ในงานเลือกตั้งปีที่แล้วที่ดาสุได้อันดับ 7 และสามารถพูดออกไปได้เต็มที่
ฉันน่ะดีใจมากกว่าจะมานั่งร้องไห้เจ็บใจกับเรื่องตัวเองอีกค่ะ แบบว่า “อืม อืม
โตขึ้นมากเลยนะ...” คิดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง
สุดะ: ตอนนี้พวกเราสนุกที่จะได้เห็นอีกคนทำเต็มที่น่ะค่ะ
- อยู่ที่โตเกียว 3 ปีมานี้ สำหรับคุณมันเป็นช่วงเวลาแบบไหนครับ?
ยูริอะ: นั่นสินะ 3
ปีแล้ว...จะว่าไงดี เทียบกับตอนอยู่ SKE48 แล้วเป็นการเติบโตคนละแบบค่ะ
3 ปีมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แล้วก็มีบางทีที่โกรธ ทนไม่ไหวจนเหวี่ยงออกไป
“ทำยังไงถึงจะเป็นผู้ใหญ่ได้มากกว่าตอนนี้นะ”
พอเริ่มรู้ตัวอย่างนั้นก็เข้าสู่ช่วงท้ายของไอดอลแล้ว
- เพื่อการนั้นก็มีแค่ต้องถอดชุดไอดอลทิ้ง
สุดะ:
รู้สึกแบบนั้นสินะ
ยูริอะ:
ช่วงนี้สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจมากคือ ในบรรดาสตาฟฟ์ “Tofu Pro Wrestling” มีคนอายุแค่ 20 เองด้วย! ในที่สุดก็มีสตาฟฟ์ที่อายุน้อยกว่าตัวเองแล้ว
สุดะ: เวลาเจอสตาฟฟ์ที่อ่อนกว่าก็จะรู้สึกแปลกๆ
แต่พอผ่านมา 2 ปีก็เริ่มชินแล้วล่ะ นี่แสดงว่ายูริอะโตแล้วไง ความคิดก็ด้วย
ใช่มั้ยล่ะ ก่อนจะไปโตเกียวก็ยังพูดบ๊องๆอยู่เลยว่า “ฉันนี่แหละ ราชาโจรสลัด!”
นี่ยกตัวอย่างเฉยๆนะ แต่ตอนนี้มีคำตอบว่า “จบการศึกษา” ในใจตัวเองแล้ว
พอได้ยินแล้วฉันก็ไม่หนักใจแล้วล่ะ
ยูริอะ: 3 ปีนี้
ดาสุก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเหมือนกัน แม้เราจะได้เจอกันน้อย แต่เวลาเจอหน้ากันทีไร
ฉันก็จะรู้สึก “โตขึ้นอีกแล้วหรอ!” ในรายการวิทยุก็พูดถึงเหมือนกันว่าการเป็นไอดอลของฉันน่ะ
มันหยุดไปตั้งแต่หลังจากจบนาโกย่าโดม (ปี 2014 เดือน 2) แล้ว
ถึงฉันจะรู้สึกว่าการเป็นไอดอลของตัวเองมันเบ่งบานเต็มที่ช่วงนาโกย่าโดม
แต่คนที่ยังก้าวไปไม่หยุดก็คือดาสุนั่นแหละ ฉันก็พูดมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วว่า
สำหรับฉันน่ะ คนที่มุ่งมั่นพยายามที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ ดาสุนั่นแหละ
เรื่องนี้ฉันมั่นใจมาก!
- คนที่มุ่งมั่นพยายามที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ!
ยูริอะ: ใช่ค่ะ
เป็นคนที่พยายามขนาดนั้นเลยล่ะ
สุดะ: ขอบคุณนะ
(หัวเราะ)
ยูริอะ: ที่พยายามไม่หยุดมาจนถึงตอนนี้ได้เป็นอะไรที่สุดยอดมากเลย
แม้บางทีเหมือนจะไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่แค่ตบหลังเบาๆก็ฮึดขึ้นมาได้ ไม่ว่ายังไงเธอก็สุดยอดที่สุดสำหรับฉัน
ไม่นานมานี้ตอนนั่งชินคันเซ็นก็ได้คุยกันเรื่องนี้ด้วย
สุดะ: ใช่
ตอนนั้นคือหลังจากสเตจจบการศึกษา (วันที่ 26 เดือน 2) ของมิกิตตี้ (ยากาตะ มิกิ)
จบลง แล้วเราไปโตเกียวด้วยกัน ตอนนั้นพูดเรื่องที่หนักใจในงานออกมาหมดเลย
ยูริอะก็ค่อยๆสอนฉัน วันรุ่งขึ้นมุมมองของฉันก็เปลี่ยนไปหมดเลย
ยูริอะ: ถ้าเธอหยุดอยู่กับที่ฉันก็คงกังวลมากเหมือนกัน
ดาสุ:
ยูริอะน่ะเคยทำงานในสภาพแวดล้อมหลายแบบ
เธอใช้ประสบการณ์ตรงนั้นมาเป็นจุดแข็งของตัวเอง เรื่องนี้ฉันเข้าใจเธอมากๆ
คิดว่ามันสุดยอดมากแล้วก็รู้สึกได้รับแรงกระตุ้นด้วย
เมื่อเลือดเดือดพลุ่งพล่าน
- ที่ได้พูดในรายการ คิซากิซังบอกว่า “จุดสูงสุดของการเป็นไอดอลคือช่วงนาโกย่าโดม”
เรื่องนี้คุยรายละเอียดอีกหน่อยได้มั้ยครับ?
เพราะดูเหมือนจะมองว่าไม่มีทางก้าวข้ามตรงนั้นไปได้อีกแล้ว
ยูริอะ:
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ฉันสามารถทำทุกอย่างที่ฉันทำได้ เต้นได้เต็มที่แม้จะมีเถียงกันบ่อยก็ตาม
อีกอย่างแฟนๆก็ร้อนแรงมาก ฉันว่านี่แหละคือไอดอล ด้วยองค์ประกอบพวกนี้
ถึงได้รู้สึกว่าช่วงนั้นเป็นจุดสูงสุด ตอนที่จะไปโตเกียวก็ได้พูดออกไปจากใจว่า
“จะสู้ต่อไป โดยไม่ลืม SKE48” แต่พอมาโตเกียวแล้ว
สภาพแวดล้อมมันต่างกันโดยสิ้นเชิง มันยากมากที่จะเอาสิ่งที่ทำใน SKE48 ตลอด 5 ปีมาใช้ มันทำให้ฉันรู้ด้วยว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกสนุกก็คือช่วงที่อยู่
SKE48 ต่างหาก แฟนๆก็สนับสนุนในเรื่องนี้ แม้ตอนอยู่ SKE48 อยากเป็นเซ็นเตอร์มาก แต่ในตอนนั้นเองก็โดนย้ายมา ถึงอย่างนั้นไม่ว่ายังไงที่โตเกียวนี่ก็ยังอยากพยายามต่อไป
แต่คงเพราะความหมายของจุดสูงสุดสำหรับชีวิตไอดอลที่โตเกียวมันต่างออกไปด้วยมั้งคะ
เพราะโตเกียวก็มีสิ่งที่จะพบเจอได้แค่ในโตเกียวเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเทียบกับตัวเองตอนอยู่ SKE48 ฝีมือการแสดงก็พัฒนาขึ้น
แต่คิซากิ ยูริอะใน SKE48
น่ะเป็นจุดสูงสุดของไอดอลแล้วค่ะ พูดให้ชัดก็คือ ตอนที่จูรินะซังไม่ได้อยู่ตรงกลาง
อย่างตอนไปเล่นสเตจทางไกลที่โตเกียว (ปี 2013 เดือน 4) หรือตอนนาโกย่าโดม
หรือตอนคอนเสิร์ต SSA (ปี 2014 เดือน 4) ประมาณนี้น่ะค่ะ
*T/L Note:
สเตจทางไกลที่โตเกียวยูริอะได้อันเดอร์จูรินะเป็นเซ็นเตอร์ในเธียร์เตอร์อากิฮาบาระ
ที่นาโกย่าโดมยูริอะได้โซโล่เพลง “Sore demo Suki dayo” และที่
SSA ยูริอะเล่นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายกับ SKE48*
- พวกนี้เราได้เห็นมาหมดแล้ว
คิซากิซังที่ยืนเซนเตอร์อันเดอร์ตำแหน่งจูรินะซังน่ะเอาชนะคนดูด้วยพลังที่ท่วมท้น
มีแรงผลักดันที่จะทำลายสถิติตัวเองในทุกๆวัน
ยูริอะ:
หลังจากย้ายมา เวลาเล่นคอนเสิร์ตบางทีก็ได้เต้นข้างๆจูรินะซังใช่มั้ยคะ
พอถึงตอนนั้นทุกครั้ง เลือด SKE48 ในร่างกายมันจะเดือดพลุ่งพล่านไปหมด
- เลือดเดือดพลุ่งพล่าน!
ยูริอะ: เหมือนได้กลับไปตอนที่อยู่
SKE48 เลยค่ะ ความรู้สึกแบบนั้นมันไม่ได้หายไปเลย ดังนั้นถ้าได้กลับไปยืนบนเวทีที่นาโกย่าอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายก็คงดีค่ะ
- รออยู่เลยครับ ประโยคนี้
ยูริอะ:
ถ้าจัดสเตจจบการศึกษาที่เธียร์เตอร์SKE48ได้ก็คงดี
เท่านี้ฉันก็ก้าวข้ามตัวเองในตอนนั้นได้แล้ว
- อันนั้นคงเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆแล้ว แต่ถ้าพูดว่า
“ตอนนั้นคือจุดสูงสุด” ก็รู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อยนะ เพราะสำหรับพวกเราแล้ว
หลังจากนี้ก็ยังอยากเห็นคิซากิซังต่อไป
ยูริอะ: ขอบคุณนะคะที่คิดอย่างนี้
เพราะงั้นฉันอาจจะก้าวข้ามตัวเองในอดีตได้ก็ได้ ยังไงก็อยากจะจัดสเตจสุดท้ายที่เธียร์เตอร์
SKE48 ค่ะ ที่เธียร์เตอร์และกิจกรรมต่างๆใน AKB48 เนี่ย จะให้ก้าวข้ามตัวเองในสมัยที่อยู่ SKE48
ถ้าพูดตามตรงมันยากมากค่ะ ถ้ามีวิวที่ดีกว่าในตอนนั้นรอฉันอยู่ก็คงจะดีมาก แต่ว่าฉันคิดอยู่ตลอดเลยล่ะ
แฟนๆที่สนับสนุนฉันหลังจากย้ายมาโตเกียวแล้วก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ พวกเขาจะช่วยฉันก้าวข้าม
“ตัวเองในสมัยอยู่ SKE48” เอง
ก็ถ้าไอดอลที่ตัวเองสนับสนุนไม่เปล่งประกายอีกต่อไปแล้วก็คงรู้สึกไม่ดีใช่มั้ยคะ
สิ่งนึงในเธียร์เตอร์ AKB48 กับ SKE48
ที่ฉันรับรู้ได้ว่าต่างกันอย่างชัดเจนก็คือ เสียง ค่ะ
- เสียง? หมายถึงเสียงคอลล์ในสเตจอันร้อนแรงรึเปล่าครับ
ยูริอะ: ใช่ค่ะ แฟนๆของฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันใส่ใจคือเรื่องนี้
เพราะงั้นในสเตจวันเกิดก็เลยพยายามคอลล์กันสุดชีวิต ดังนั้นก่อนจะจบการศึกษาจะต้องตอบแทนแฟนๆให้ได้
เพื่อการนั้น ฉันต้องก้าวข้ามตัวเองในตอนนั้นให้ได้ค่ะ
- ถ้าได้จัด จะจัดสเตจไหนครับ?
ยูริอะ:
ถ้าได้จัดสเตจที่ฉันเล่นมา 3 ปี อย่าง “Seifuku no me”
ก็คงดีค่ะ
- แน่นอนว่า
สเตจนั้นสุดะซังก็ต้องอยู่ด้วย
สุดะ: ฮุๆๆ
ยูริอะเนี่ยพอจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำทีไร ก็จะเกรงใจทุกที อย่างเช่น
“ถ้าเป็นไปได้” ไม่ก็ “แม้อยากได้เพลงของรุ่น 3 แต่คงยากเนอะ” อะไรแบบนี้
ยูริอะ:
เพราะคิดมากไปมั้ง เลยไม่รู้จะพูดออกมายังไง
สุดะ: เพราะเธอน่ะก่อนจะพูดอะไรออกมาทุกครั้งจะต้องคิดก่อนว่าถ้าพูดไปแล้วจะทำให้ใครเสียใจหรือเปล่า
ยูริอะ:
ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองจะไม่ค่อยคิดมาก ก็เลยเจ็บตัวตลอด (หัวเราะ)
สุดะ: ก็เพราะว่าเธอใจดีไง
-
สุดะซังคิดว่ายูริอะซังมีตรงไหนที่อาจโดนเข้าใจผิดมั้ยครับ?
สุดะ: มีค่ะ
ยูริอะ:
แต่ก็ไม่เป็นไรนี่ ไม่มีทางทำให้คนชอบเราได้ 100% หรอก ขอแค่มีไม่กี่คนที่เข้าใจฉันก็พอแล้ว ฉันอยากต่อให้ติดกับคนไม่กี่คนตรงนี้นะ
ฉันเชื่อว่าคนเหล่านี้จะสนับสนุนฉันต่อไปแม้จะจบการศึกษาไปแล้ว
สุดะ: อื้ม!
- แต่ถ้าคิดแบบนี้ก็อาจจะมีบางทีที่ต้องเจ็บตัวนะ
ยูริอะ: มีสิคะ! มีอยู่แล้วล่ะ!
- ความคิดแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นไอดอลหรือหลังจากนี้จะเป็นนักแสดงก็คงไม่ดีนะครับ
ยูริอะ: ไม่หรอกค่ะ
ดีแล้ว ถ้าเอาแต่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้จะเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างเพราะมีความรักที่ได้รับจากคนรอบข้างอยู่
สุดะ: ก็นะ เธอเป็นที่รักของทุกคนนี่นา
ยูริอะ: นอกจากว่าถ้ามันทำให้แฟนๆลดน้อยลง
ฉันจะลองคิดเรื่องนี้ดู
สุดะ: จะว่าไป
ฉันไม่มีส่วนนี้เลย ฉันน่ะ คิดว่าแม้คนที่เกลียดฉันวันนึงก็อาจเปลี่ยนมาชอบฉันก็ได้
ยูริอะ:
คนละเรื่องกับฉันเลย!
สุดะ: ไม่นานมานี้
มีแฟนที่สนับสนุนฉันมาตลอดโกรธฉันล่ะ ทุกครั้งที่ฉันพูดถึงตัวเองแย่ๆ แฟนๆก็จะรู้สึกแย่ไปด้วย
ฉันน่ะสามารถเอาคำพูดของพวกแอนตี้มาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองไปข้างหน้าได้
แสดงจุดอ่อนของตัวเองออกไป สร้างที่ทางของตัวเอง
ยูริอะ: งั้น คนที่สนับสนุนแม้เธอจะเป็นแบบนี้นี่ถือเป็นสมบัติตลอดชีวิตเลยนะ
สุดะ: ใช่
ฉันรับรู้ได้นะว่าแฟนๆที่มาตามฉันเนี่ยเขาคิดเพื่อฉันจริงๆ
ยูริอะ:
บางทีก็แอบไปดูแถวจับมือของดาสุนะ พวกแฟนๆดูมีความสุขมากจริงๆ
เพราะงั้นฉันว่าแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ
- พอได้ติดตามหลายปี ก็คงจะค่อยๆมีความคิดแบบนี้สินะครับ
สุดะ: ฉันว่าทุกคนต่างก็มีสไตล์เป็นของตัวเองค่ะ
เพราะงั้นฉันคิดว่าแฟนๆเองก็มีวิธีสนับสนุนที่เป็นสไตล์ของตัวเองเหมือนกัน
ยูริอะ:
ฉันเชื่อว่าแฟนๆที่แม้จะเคยห่างออกไปจะมาที่เธียร์เตอร์และงานจับมือในท้ายที่สุดค่ะ
สุดะ: ช่วงนี้มีแฟนๆมาบอกว่า
“ไม่เจอกันตั้ง 5 ปี” ด้วยใช่มั้ย?
ยูริอะ: มี! แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ แม้แต่คนที่ไม่เจอกันตั้ง 7 ปีก็จะยังเป็น
“แฟน” อยู่
สุดะ:
จริงด้วยเนอะ! แฟนๆที่ไม่ได้มางานจับมือแต่คอยสนับสนุนเราอยู่ก็มีเหมือนกัน
บทสุดท้ายที่เก็บเอาไว้ตลอดกาล
- ถ้าพูดถึงช่วงนี้
ก็ต้องเรื่องที่คุณสองคนสู้กันในเรื่อง “Tofu Pro wrestling”
สุดะ:
สู้กันไปแล้วค่ะ ที่จริงสู้รอบสองก็จบไปแล้ว (ออกอากาศไปแล้ว)
ยูริอะ: ใช่ค่ะ มีการเชื่อมโยงกับชีวิตจริงด้วย
ที่ให้เราสองคนสู้กันเนี่ยฉันว่าสตาฟฟ์เข้าใจคิดนะ (หัวเราะ)
ออกมาเป็นการต่อสู้ที่มีคุณภาพมากๆเลย มิราโนะเซนเซย์ก็ชมพวกเราด้วย
สุดะ: อื้ม
- ตอนสู้กันรอบสองเป็นยังไงครับ?
สุดะ: เป็นการล้างตาของยูริอะค่ะ
ยูริอะ: ก็ต้องทำให้รู้สึกซึ้งเป็นธรรมดาค่ะ
ในบทรอบแรกน่ะฉันแพ้ แต่รอบสองชนะค่ะ ฉันเอื้อมมือไปหาดาสุที่แพ้ไปแล้ว
นอนกองอยู่กับพื้น ดึงเธอขึ้นมา แล้วก็พูดทั้งน้ำตา...
- แล้วยังเพิ่มเนื้อหาสปีชเลือกตั้งลงในบทด้วย
สุดะ: ใช่ค่ะ! โยงเข้ากับตอนงานเลือกตั้งที่ยูริอะมาอยู่ข้างๆฉัน
ยูริอะ:
ฉันนึกว่าคนที่เขียนบทน่ะคงไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเราหรอก
เพราะงั้นเลยรู้สึกว่าสุดยอดมากที่แท้ก็ศึกษาเรื่องพวกเรามาอย่างดีเลย
- ไม่ใช่แค่ละคร แต่ได้เขียนประวัติของสองคนเอาไว้ด้วย
ยูริอะ:
ลึกซึ้งมากค่ะ
สุดะ: อืม ได้อารมณ์มาก
- งั้น
ในโลกความเป็นจริงคิซากิซังถูกมองยังไงครับ เพราะเท่าที่รื้อฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งนาโกย่าเป็น Yuria Peace หมดเลย
ยูริอะ: ฮ่าๆๆๆๆ
ถ้ามันแพร่หลายขนาดนั้นก็คงดีค่ะ ไม่รู้จะมีแฟนๆมาบอกมั้ยนะว่า แค่เห็นฉันเต้น “Seifuku
no me” ก็น้ำตาไหลแล้ว (หัวเราะ) ฉันมั่นใจว่าแค่ตรงท่ากระโดดตอนเริ่มต้นก็ทำให้น้ำตาไหลได้แน่
สุดะ:
(กำลังนึกภาพตาม) อ่า ไม่ได้นะ! ถ้าเพื่อยูริอะ
ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันอยู่แล้ว วันนั้นจะต้องเป็นจุดสูงสุดครั้งใหม่แน่ๆ ไม่ใช่แค่รวบรวมความทรงจำเท่านั้น
แต่ถ้าเอาความรู้สึกของความทรงจำพวกนี้มาเป็นพลังของ SKE ครั้งใหม่ได้ก็คงดี
- นั่นสิครับ ให้อาซาอิ ยูกะซัง (ผู้ชื่นชมสุดะ
เป็นลูกพี่ลูกน้องของคิซากิ) ได้ยืนได้ตำแหน่งที่สุดะซังเคยยืน ส่งไม้ต่อไป
สุดะ: ดีเลยค่ะ!
ยูริอะ: ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สุดยอดเลยล่ะ
- วันนี้เราคุยเกี่ยวกับ “SKE48 คิซากิ ยูริอะ” ไปเยอะแล้ว แล้ว “AKB48 คิซากิ
ยูริอะ” ล่ะครับ คิดว่าจะลงยังไง?
ยูริอะ: หน้าที่กัปตันจะทำยังไงต่อ
ใช่มั้ยคะ ทีม B ตอนนี้น่ะมีเมมเบอร์ที่เก่งๆอยู่หลายคน
อย่างเช่น เซย์จัง (ฟุกุโอกะ เซย์นะ) หรือโมเอะคิ้ว (โกโต้ โมเอะ)
เด็กดราฟต์ก็เก่งมากเหมือนกัน จะพยายามให้เด็กๆเหล่านี้ได้รับผลตอบแทน
ได้งานมากขึ้น นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำได้ในฐานะกัปตันค่ะ
สุดะ:
ฉันเคยไปดูสเตจทีม B ครั้งนึงนะ มันดีมากเลยล่ะ
รู้สึกประมาณว่าทุกคนดูมีตัวตน แล้วตอนเต้นก็มองแฟนๆอย่างทั่วถึงด้วย เป็นสิ่งที่ดีมากเลย
- คิซากิซังน่ะคิดถึงเรื่องของรุ่นน้องมากๆแต่ยังไม่เคยได้บอกออกไปชัดๆเลย
อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ
ยูริอะ: ไม่หรอกค่ะ
ดีแล้ว ถ้าเรื่องพวกนี้เผยออกมาในอีก 10 ปีให้หลังก็คงเท่น่าดูเลยไม่ใช่เหรอคะ
อีกอย่างคือ ฉันอยากสนับสนุนโซคันโตคุโยโกยาม่า ยุยจังให้ถึงที่สุดค่ะ
แม้ฉันจะจบการศึกษาไปแล้วก็ยังจะสนับสนุนเธอต่อ
เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำในขณะที่อยู่ใน AKB48 นี่
สุดะ: พยายามมากเลยสินะ
ยูรินะ: อื้ม ได้คุยกับเธอหลายเรื่องเลยล่ะ
สุดะ:
ฉันเองก็อยากสนิทกับโยโกยาม่าซังให้มากขึ้นเหมือนกัน
ยูริอะ: รีบเลย! ถ้ายุยฮังไม่มีเมมเบอร์ที่คอยอยู่เคียงข้างล่ะก็ น่าเป็นห่วงมากเลยนะ
- สุดท้าย เรามาปิดท้ายด้วยเรื่องเก่าๆกันหน่อย
อย่างเช่นเรื่องหลังจากผ่านออดิทชั่น
สุดะ:
ในคลาสซ้อมเต้น ต้องคาบตะเกียบร้องเพลง!
ยูริอะ:
คิดถึงจังเลย! ฝึกยิ้มสินะ
สุดะ: ใช่แล้ว
คาบตะเกียบแล้วก็ร้องเพลง “Dear my teacher”
ยูริอะ:
เต้นไปน้ำลายหกไป โดยเฉพาะยัยนี่
สุดะ:
ไม่หกเว่อร์ขนาดนั้นซะหน่อย!
ยูริอะ:
ความประทับใจแรก คือ “คนที่ขี้แย ชอบทำน้ำลายหกบ่อยๆ”
สุดะ:
จำได้หลายเรื่องเลยนะ!
ยูริอะ: แม้ทุกวันจะต้องไปซ้อม
แต่ก็สนุกมาก
สุดะ: ทุกคนต้องมาล้อมวงคุยกันว่าทำไมพวกเราถึงยังทำได้ไม่ดี
แต่คุยยังไม่ทันรู้เรื่องพวกอิมาเดะ (ไม) ก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำแล้ว
ยูริอะ:
นอกจากอิมาเดะกับชาวาโกะ (ฮาตะ ซาวาโกะ) ก็ยังมีเด็กอีกหลายคนที่รู้สึกประหม่าตลอด
ไม่ต้องพูดออกมาแค่ท่าทางของพวกเธอก็รู้สึกได้แล้ว แต่คงเพราะพวกเราทะเลาะกันแบบนี้แหละมั้งถึงออกมาดี
ไม่ว่าจะเถียงกันยังไงสุดท้ายเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ดีที่สุด
- ใน LINE
มีกรุ๊ปรุ่น 3 มั้ยครับ?
สุดะ: มีค่ะ
ยูริอะ: เวลาวันเกิดใครก็จะอวยพรกันใน
LINE ค่ะ แต่ทุกครั้งจะลืมวันเกิดของยามาดะ เอริกะ (วันที่ 26 เดือน
12) ตลอดเลย (หัวเราะ)
- เพราะสิ้นปีเป็นช่วงที่ทุกคนยุ่งนี่นา
(หัวเราะ)
ยูริอะ: ใช่ค่ะ
จริงสิ เวลาที่ตัวเองรู้สึกเครียดๆฉันก็จะหยิบDVD สเตจ “Party
ga hajimaru yo” ออกมาดูค่ะ บนปกเขียนไว้ว่า “เวลาที่ตัวเองลำบากมากๆให้กลับไปดูสเตจเริ่มต้น”
ฉันเก็บไว้อย่างนั้นล่ะ!
- อย่างงั้นเหรอครับ!
ยูริอะ: ในตอนนั้นเราก็ร้อนแรงแบบนี้แหละค่ะ
ตอนนั้นทุกคนน่ะทำไปโดยคิดว่า “พวกเราต้องเอาชนะทีมSให้ได้”
พอมาคิดดูตอนนี้
จริงๆตอนนั้นสเตจปาร์ตี้ฯของพวกเราไม่ได้เฉียดใกล้ระดับนั้นเลยแม้แต่น้อย
(หัวเราะ)
สุดะ: ยังรู้สึกอีกว่า
“สุดยอดแล้ว!” ด้วยนะ รู้สึกว่านั่นคือขั้น max ของตัวเองแล้ว
ยูริอะ: นั่นสิน้า แผ่น
DVD ช่วงเวลานั้นกับแผ่น DVD ช่วงที่ร้องแรงมากได้เป็นเซนเตอร์ทีม S ที่เมื่อกี้พูดถึงอ่ะ เป็น 2
แผ่นที่ฉันเก็บไว้อย่างดีเลย
สุดะ:
เป็นสิ่งที่อยากเก็บไว้กับตัวไปตลอดชีวิตเลยเนอะ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็พยายามต่อไปได้
ยูริอะ: เป็นภาพในช่วงที่กำลังรุ่งของฉันล่ะ
- งั้นช่วยออกแผ่น
DVD แผ่นที่3 ที่เป็นช่วงที่กลับมารุ่งด้วยนะครับ! วันนี้ขอบคุณที่สละเวลานะครับ!